วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ภาษาวัยรุ่นอเมริกันเมื่อเห็นด้วย

1
ไม่รู้ว่ามันมีที่มาจากไหนนะ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ติดตามวัยรุ่นฝรั่งเขาอยู่บ้างว่า เด็ก(มะกัน) สมัยนี้ มันเป็นยังไงบ้าง
เพราะเด็กพวกนี้ก็มีแสลงของพวกเขามาใหม่ๆ

แล้ว แหม ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพลงไทยก็ใส่คำพวกนี้มาด้วย เพราะเมื่อเช้าได้ยินเพลงไทยเพลงหนึ่ง ผมไม่รู้ชื่อเพลง และไม่แน่ใจว่านักร้องคือใคร ใช่ เฟย์ฟางแก้ว อะไรกลุ่มนั้นหรือเปล่าไม่รู้ ใครรู้ยืนยันให้ด้วย

เห็นมีเสียงร้อง เป็นแบคกราวด์อยู่คำหนึ่ง เวิ้ด ๆ ๆ.. อยู่นั่น
ไม่รู้เขาหมายถึง Word คำนี้หรือเปล่า
นั่นแหละ Word ที่แปลว่าคำ หรือ คำพูดนั่นแหละ
+---------------------------------------------+
2
ผมคิดว่าวัยรุ่นพวกนี้ มันไปวิบัติภาษา มาจากคำว่า What's up? กลายเป็น Word up?
แล้วต่อมาก็ใช้แปลว่า Yes หรือ Really แทนได้ด้วย

คนอ่าน: Word?
จริงเหรอ
จขบ: Word.
จริงครับ
+---------------------------------------------+
3
นอกจากนี้ คิดว่าวัยรุ่นที่เก่งภาษาฮิพฮอพหลายคน คงจะรู้จักคำๆนี้กันอยู่แล้ว
คือคำว่า
Fo shizzle (โฟ ชี้ส- เซิ้ล)
กับ
Fo rizzle
คำๆนี้ ก็มาจาก แสลงแบบวัยรุ่นอีกที จากคำว่า
For sure กับ For real..
ทั้งหมดนั่น ใช้แทนคำว่า Really? หรือ Yes ได้หมดเลยครับ
ถ้าให้เพิ่มความแนวๆ มันมีคำพ้องเสียงที่ใช้แทนคำว่า เพื่อน หรือ เกลอ ด้วยคำว่า Dizzle อีกครับ
เช่น

Fo shizzle, ma dizzle
แน่นอนเลยเพื่อน

+---------------------------------------------+
4
เสริมได้อีก คำนี้ผมก็ได้ยินจากเพลง Dilemma ของ Nelly
คือคำว่า Fo sho
อ่านว่า โฟ โช
ย่อมาจาก For sure
ซึ่งก็แปลว่า ใช่ และ จริง เหมือนกัน
+---------------------------------------------+
5
สมัยก่อน ผมก็อยากทำตัวเหมือนเป็นวัยรุ่นกับเขาเหมือนกันนะครับ
เวลา จะพูดว่า OK โอเค
มันอาจไม่แนวเท่าไหร่
ผมเลยติดพูดคำว่า

Aight
แทน เป็นการรวมคำว่า All right มาให้กลายเป็นพยางค์เดียวแบบนี้ มันจะ แนวๆ สำหรับวัยรุ่นเลย
+---------------------------------------------+
6
เขียนเอนทรี่ ก็หวนรำลึกเมื่อสมัยเป็นนศ.เอแบค ชอบโดนครูภาษาอังกฤษคนหนึ่ง ติประจำ ไม่ให้พูดว่า Yep หรือ Yup และ Yeah แทนคำว่า Yes
หรือ Nope, Nye แทนคำว่า No
ครูแก จะหันมาเน้น บอกให้พูด Yes และ No ให้ถูกต้องด้วย
ครูคนอื่นไม่เห็นเรื่องมากแบบแกเลย
จริงไหม?
Word?



ขอบตุนที่มาจาก  http://streetenglish.exteen.com/20090615/entry

สำนวนปากหมาๆ

ฆ่าคือซุนหงอคง เจี๊ยกกก...

เจ้ากรรม เห็นชื่อเอนทรี่วันนี้ ไม่ได้จะเอาคำด่ามาเขียนนะ แต่สำนวนหมาๆ ผมหมายถึงสำนวนภาษาอังกฤษที่เขา เล่นกับคำศัพท์ว่า "DOG"
ช่วงนี้ต้องขออภัยจริงๆที่หายไปนานหลายวัน อย่างที่บอกว่าผมอยู่ในช่วงยุ่งหัวฟู เพราะช่วงนี้ยุ่งกับตัวเลขเรื่องเงินจนลายตา และไม่ใช่ไหลมานะ แต่ไหลออกหมดเลย แต่มันก็ต้องเป็นเรื่องปกติแหละนะ เพราะนี่คือการลงทุน เพราะเราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำกำไรให้ได้
แต่ธุรกิจของผมคู่แข่งมันก็เยอะ ต้องแข่งขันกันสูงเพื่อแย่งลูกค้า ในภาษาฝรั่ง เขาเรียกว่า
a dog-eat-dog business ครับ
ไม่ใช่ธุรกิจที่เอาหมามากินกันเองนะ
แต่หมายถึงธุรกิจที่ต้องแก่งแย่งกัน ถ้าฝ่ายไหนได้ดี อีกฝ่ายก็มีผลกระทบเหมือนกัน
นอกจากนี้ Dog eat dog ยังหมายถึง การเหยียบบ่าผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าด้วย

แต่้คนเราก็ต้องดิ้นรน จริงไหมครับ ผมเองก็ต้องอยู่รอด ถึงแม้ว่าจะลำบากช่วงแรกๆ
แต่ก็นะที่เขาบอกว่า Every dog has its own day
แม้แต่หมาก็มีวันของมัน สำนวนนี้หมายถึง ไม่ว่าใครก็ต้องมีโชคหรือทุกข์กันทั้งนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
ฉะนั้นตัวผมเองก็ต้องพยายาม ชีวิตของผมจะได้ไม่ต้องเป็น a dog's life
a dog's life ฝรั่งไปเปรียบเป็น ชีวิตที่ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ไม่รู้ทำไม แต่ผมว่าหมาหลายตัวยังมีความสุขกว่ามนุษย์ตั้งหลายคนซะอีก
It's a dog life being a cab driver.
ช่างเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขเลยที่เป็นคนขับแท๊กซี่
(สมมตินะครับ ไม่ได้มีอคติอะไรกับคนขับ)เดี๋ยวจะโดนคนเข้ามาหาเรื่อง เพราะเผลอแกว่งเท้าหาเสี้ยน
โอ้.. ไอ้หลีกเลี่ยงแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่หาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวเนี่ย ฝรั่งเขาก็มีสำนวนหนึ่งนะครับ ว่า
Let sleeping dogs lie ถ้าตรงๆตัวก็แปลว่าปล่อยให้หมาที่กำลังหลับอยู่ หลับต่อไป (อย่าให้มันตื่นหละ เดี๋ยวมันเข้ามาเลีย) ตัวอย่างประโยค
I wanted to ask her what she thought of her ex-husband, but I figured it was better to let sleeping dogs lie.
ฉันอยากจะถามเธอว่าเธอคิดยังไงกับสามีเก่าเธอ แต่ฉันมาคิดอีกทีว่า ฉันไม่ควรหาเหามาใส่หัวจะดีกว่า

อย่างที่บอก ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฝรั่ง เอา หมา มาแทนความรันทดหดหู่ด้วย เพราะยังมีอีกหลายสำนวนหมาๆที่พูดๆกัน ในลักษณะเรื่องแย่ๆ
treat somone like a dog คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางแย่มากๆ เช่น
The prison guards treated prisoner like dogs
ผู้คุมนักโทษปฏิบัติต่อนักโทษแย่มาก
และ dog ยังแสดงถึงความผิดหวังได้อีก เช่น
Last night, the party was a real dog.
เมื่อคืนนี้ งานเลี้ยงน่าผิดหวังมากๆ


หรือใครจำได้ไหม ว่าผมเคยเขียนภาษาจากหนัง เรื่อง Under Dog และมีคนถามผมมาว่า Under dog มันแปลว่าอะไร ความจริงมันก็มีความหมายนะครับ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับชื่อหนังเรื่องนี้จริงๆหรือเปล่า เพราะว่า แปลว่าคนที่เสียเปรียบ หรืออยู่ในฐานะเสียเปรียบอยู่ ส่วนคนที่ได้เปรียบเขาก็เรียกว่า Top dog คือหมาที่ยืนคร่อม under dog อีกตัว

และในหนังเรื่อง Under dog เอง ผมก็เคยเขียนคำว่า
Dog barks, no bite ด้วย หรือจะบอกว่า Barking dog don't bite ก็ได้
หมาเห่าไม่กัด
คือดีแต่พูดแต่ไม่กล้าจริง


อีกสำนวนหนึ่ง หลายคนคงเคยได้ยิน
Love me love my dog
รักฉันแล้วต้องรักหมาฉันด้วย
เขาหมายถึงเวลาบอกคนรักของคุณว่า ถ้าจะรักเขา ต้องยอมรับสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าข้อเสียข้อด้อย ด้วยครับ



เรื่องหมาๆ ยังเอาไปพูดถึงเรื่องการแต่งตัวก็ได้ครับ
Like a dog's dinner
คำนี้เขาหมายถึงคนที่แต่งตัว แบบตัวเองคิดว่าสวยโก้เลิศหรู แต่ในสายตาคนอื่นเขามองว่างี่เง่าครับ
เห็นบ่อยเวลามีดาราออกงาน แล้วคนชอบซุบซิฐนินทาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัวมากๆ


ขอแถมอีกสำนวนที่ว่าไม่เขียนก็คงไม่ได้ นั่นคือ
You can't teach an old dog new tricks.
อันนี้หมายถึงคนที่หัวโบราณ ไม่ยอมรับอะไรใหม่ๆ หรือรับได้ยาก เราจะไปสอนเขา เขาก็รับอะไรยากมาก

สำนวนไทยที่คล้ายกับฝรั่งก็มีอีกคำว่า
หมาหวงก้าง
คือพวกที่ไม่ชอบ หรือยอมให้คนอื่นมีความสุข หรือได้รับอะไรดีๆ (ทั้งที่ตัวเองก็ไ้ม่ได้อะไรดีด้วย)
ฝรั่งเขาก็เรียกคนแบบนี้ว่า
A dog in the manger

นอกจากสำนวน ผมขอพูดถึงแสลงหมาๆบ้าง
a jolly dog คือ คนที่มีความสุข
a sad dog คือ คนที่หลงระเริง และหมายถึง คนที่ก่อความเดือดร้อนไปทั่วด้วย
a sly dog คำนี้ คือ คนที่ชอบแอบออกไปเที่ยวผู้หญิงลับๆล่อๆ (เอาไว้ใช้ด่าไอ้พวกที่แอบออกไปเที่ยวหญิงได้เลยครับ คำนี้)
a dumb dog คือ คนที่เงียบ ไม่พูดไม่จา ในระหว่างประชุม หรือเขากำลังนั่งถกเถียงกัน เรียกได้ว่า มึงมานั่งทำไมฟะ ไม่ออกความเห็นเลย
a lucky dog คือ คนที่โชคดี
dog sleep คือ คนที่นอนๆ แล้วชอบผวาตื่น
dog day คือ วันที่ร้อนจัดสุดของปี (ถ้าเป็นเมืองไทย คงไม่แน่ใจว่าวันไหน แม่งร้อนสุดๆทุกวัน)


หรือคนอ่านหนังสือหลายคน คงชอบพับมุมหน้าหนังสือที่เราจะคั่น
ไอ้หน้าที่เราพับคั่นหนังสือ เขาเรียกหน้าตรงนั้นว่า Dog-eared
และนอกจากคำนามแสลงที่ผมบอกไว้ คำว่า dog ยังเป็น verb ได้อีกด้วย แปลว่า ไล่หลัง หรือ ติดตาม
ส่วนมากพูดถึงเรื่องไม่ดีที่ติดตามเราอยู่
เช่น
We were dogged by bad luck through-out the journey
เราถูกรุมเร้าด้วยความโชคร้ายตลอดการเดินทาง

เพิ่งเติมโดยคุณเจ้าชายน้อยอีกสองสำนวนนะครับ
Dog fight ที่แปลว่า การบินสู้รบกัน ของเครื่องบินขับไล่ เพื่อยิงให้อีกลำตกให้ได้ครับ
พอเห็นคำนี้ ผมเลยนึกถึงคำว่า Cat Fight อีกคำเลย แปลว่า ผู้หญิงตบตีกัน

อีกวลี raining cats and dogs แปลว่าฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา
ฝรั่งเขาใช้สำนวนหมาแมวแทน คนไทยเราใช้หูกับตา
อย่าถามผมว่าทำไมนะ เพราะผมไม่รู้
วันนี้ขอจบสำนวนหมาๆเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ หลังผมผ่านช่วงยุ่งๆ อีกทีนะครับ
Hot dog มันไม่เกี่ยวกับหมานะจ้ะ
Tags: dog, english, idiom
 
 
 
 
 
 
 
ที่ม าhttp://streetenglish.exteen.com/20071111/entry
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

สำนวนมั่นๆเวอร์ชั่นเสียวๆ

เอาแล้วล่ะสิ นี่มันเอนทรี่ดักรึเปล่า ดันไปเขียนคำผวนซะได้
สำนวนมั่นๆเวอร์ชั่นเสียวๆ (สำนวนเหมียวๆเวอร์ชั้นสั้นๆ ต่างหากล่ะ!!!)

เมื่อสองวันก่อนนี่ ฝนตกหนักมากๆ แบบนี้เลยสินะที่เขาต้องเรียกว่า
Raining cats and dogs คือตกห่าใหญ่เลย น้ำท่วมสูงมาก ผมกับแฟนออกไปทานข้าวแถวตลาด จอดรถเอาไว้ห่างตั้ง 500 เมตร เห็นจะได้ ต้องเดินลุยน้ำขยะดำกลับรถที่มีน้ำท่วมสูงเท่าเข่า
แบบนี้ละมั้งที่เขาว่าฝนตกเป็นหมาเป็นแมว
เห็นสำนวนแบบนี้ทำให้นึกได้ว่า เคยเขียนสำนวนปากหมาไปแล้ว แต่ทำไมไม่เคยเขียนสำนวนปากแมวบ้างเลย
ยิ่งไม่กี่วันเห็นข่าวผู้หญิงที่จับแมวลงในถังขยะ ให้มันติดอยู่ในนั้นถึง 15 ชั่วโมง ไม่รู้ทำไมทำเช่นนั้นได้ น่าสงสารน้องเหมียวมากกกก
แต่ว่าผมยังคงเคยสัญญาว่าจะอัพสั้นๆจนครบ 10 เอนทรี่ก่อน
วันนี้ขอแค่พอหอมปากหอมคอก็พอละกัน เลือกแค่สำนวนที่ได้ยินเองบ่อย และใช้ได้จริงครับ
ขอเก็บอัพเวอร์ชั่นเต็มในอนาคตนะ
------------------------------------
นายเอ: เฮ้ยเมื่อคืน ไหนว่าจะกลับบ้านนอนแล้ว ขาออกไปเห็นแกแอบมีหญิงกลับด้วยนี่หว่า
นายบี: เอ่อ ....
นายเอ: เฮ้ย น้องที่ไหนว่ะ หนะๆ ตูเห็นนะเว้ย ตอนแกขับรถออกไปอะ มีหญิงนั่งกลับไปด้วย
นายบี: .....
นายเอ: อย่ามา อย่ามา บอกมาเลยเธอเป็นใคร
นายบี: ....
นายเอ: ็Has the cat got your tongue? เฮ้ยเอ็งเป็นใบ้แดกหรือไงว่ะ?
นายบี:.... เอ่อ เมื่อคืนนี้กูกลับคนเดียวนะ
นายเอ: .....
cat's got your tongue cartoons, cat's got your tongue cartoon, cat's got your tongue picture, cat's got your tongue pictures, cat's got your tongue image, cat's got your tongue images, cat's got your tongue illustration, cat's got your tongue illustrations
สำนวนนี้ประหนึ่งว่า เอ็งเป็นใบ้แดกหรือไง ทำไมไม่พูด
ขณะที่อีกสำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการพูดอีกแล้ว
Let the cat out of the bag
อันนี้กลับกันเป็นว่า เผยความลับออกมา
ลูกน้อง: หัวหน้า ครับ เจ้านี่มันไม่ยอมเปิดเผยว่ามันมาจากที่ไหน ถึงลอบเข้ามาในรังของเราครับ
หัวหน้า: หึๆ ไม่คิดจะสารภาพเหรอ Let the cat out of the bag. บอกมาซะเถอะไม่งั้นแกจะโดนช๊อตด้วยไม้ช๊อตยุงของข้า
ลูกน้อง: โห น่ากลัวมากกกกก
--------------------------------------
นี่เป็นเอนทรี่ ที่ 5 ที่สัญญากับตัวเองว่าจะอัพสั้นๆ 10 เอนทรี่ติดต่อกัน แต่เริ่มจะฝืนตัวเองอยู่แล้วนี่
อืมดูข่าวในทีวีต่อ
แล้วอยากบอกว่า
Let the cat out of the Trash!!!
เอาเจ้าเหมียวออกมาจากถังขยะนะ!!!!http://streetenglish.exteen.com/20100827/entry

แสลง Hip Hop 1

สำหรับหลายคนคงชื่นชอบฟังเพลงแนวฮิปฮอป แต่หลายครั้งแค่เห็นชื่อเพลง ก็งงว่ามันร้องหมายถึงอะไร เพราะแนวพวกนี้ เขาชอบใช้ภาษาเด็กแนวตามแบบสไตล์ของเขา
ผมเลยขอคัดคำศัพท์มาบอกความหมายที่แท้จริงจากในเนื้อเพลงของมันบ้าง
ต้องยอมรับเลยว่า เพลง แนวฮิปฮอปนั้น เนื้อหามักหนีไม่พ้นถึงเรื่อง ผู้หญิง แกงค์ เงิน ความร่ำรวย ปืน เหล้า หรืออะไรประมาณนี้
มาลองดูเรื่องเงินๆทองๆก่อน
Ice แปลว่า เพชร ในแสลงฮิปฮอป
C-R-E-A-M แปลว่า เงิน ย่อมาจากคำว่า Cash Rule Everything Around MeBaller หมายถึง คนร่ำรวย ใช้เงินฟุ่มเฟือย
Bling Bling หมายถึง เงินทอง เครื่องประดับ
Paper
Cake
Cheddar/Cheeze
พวกนี้เป็นแสลง มีความหมายว่าเงินทั้งหมด
นอกจากนี้เรื่องเงินๆ ยังมีแสลงอีกเยอะที่ไม่จำเป็นต้องพูดในแนวฮิปฮอปเสมอไป
แต่ก็ใช้กันเป็นจำนวนมาก และควรรู้ไว้บ้าง เช่นคำว่า
Dough (อ่านว่า โด)
หรือ หน่วยเงินในอเมริกา นอกจากคำว่า Dollar เขายังนิยมใช้คำว่า Buck กันอย่างกว้างขวาง
เช่น 1 buck, 2 buck
หรือคำแทนหน่วย $1,000 อเมริกันชน เขาจะใช้คำว่า 1 Grand ก็ได้
ถ้า 3 Grand ก็แปลว่า 3 พันครับ
หรือถ้า ดูในหนังปล้นแบงค์ คุณอาจได้ยินคำว่า Benjamins นั่นเขาก็หมายถึง แบงค์ $100 ที่มีรูปของ Benjamin Flanklin อยู่บนธนบัตรก็มี

ขอผ่านเรื่องเงิน มาดูคำแสลงว่า แฟน หรือผู้หญิงบ้าง
เพลง My Boo ของนักร้อง Usher คำว่า Boo ก็เป็นแสลงแปลว่า แฟน จะหญิงหรือชายก็ได้ ตัวอย่างคำว่า Boo อีกแห่งเช่น เพลง Dilemma ของ Nelly
หรือจะเป็น Bubu ที่ย่อมาจาก baby ก็มี
อีกคำที่นักฟังเพลงทั้งหลายได้ยินบ่อยๆ ก็มีคำว่า Shawty หรือสะกด Shorty (ชอร์ตี้) ซึ่งแปลว่าผู้หญิง ถ้าคิดว่าไม่เคยได้ยิน ลองไปเปิดเพลง In da club ของ 50 Cent หรือ เพลงอื่นๆหลายเพลงก็มีให้ได้ยินบ่อยแน่
Breezie บรีสซี่ ก็เป็นอีกแสลงที่ หมายถึงผู้หญิง ในภาษาฮิปฮอปนะครับ
คำแสลงที่หมายถึงผู้หญิงที่ใช้กันกว้างขวาง ไม่ต้องแนว ก็ยังมีคำว่า Chick อีกเช่นกัน ไม่ได้หมายถึงไก่นะครับ
คำศัพท์เรื่องเหล้า สุราก็มี
เช่น เพลงของ Daddy Yankee เพลง Gasolina คำว่า Gassoline ก็เป็นแสลงที่แปลว่าเหล้าเช่นกันครับ
อีกคำที่เป็นแสลงทั่วๆไป และนิยมใช้แทนคำว่าเหล้า ก็คือคำว่า Booze
สำนวนพูดติดปาก หากคุณอยากทำตัวเป็นเด็กฮิปฮอป
ก่อนอื่นคุณต้องเปลี่ยนสำเนียงการพูดซักเล็กน้อย ไม่ว่าเวลาทักเพื่อน หรือสนทนา
ไม่ใช่ "ซับโหยๆ" นะ พูดแบบนั้นคนพูดดูเช้ยเชยไปเลย ไม่ใช่เด็กแนวจริงอย่าพูดเลย เพราะเขาไม่ได้พูดกัน
เวลาชาวแกงค์จะทักกัน แค่ Sup คำเดียว หรือ Yo คำเดียว ก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาไปต่อกัน
Keep it real คำนี้ก็เป็นคำติดปากของเด็กฮิปฮอปครับ ใช้พูดถึงแสดงความจริงใจ
หรือจะชมว่า อะไรดี หรือ ดีมาก
แค่คำว่า That's good มันไม่แนวพอครับ เปลี่ยนมาใช้ว่า That's bangin' (แบงงิ่ง) หรือ That's off the hook จะแนวกว่าเยอะ หรือบางทีก็ว่า That's dope หรือ That's phat ก็ได้
แต่จะติว่าอะไรห่วยหละ เขาก็ใช้คำว่า Whack ครับ
เช่น That car is whack
รถคันนั้นโกโรโกโสจังเลย
จะชมว่าใคร เท่ห์ เก๋ สมัยนี้เขาก็คำใหม่ว่า Fly แล้วครับ ความหมายเหมือนคำว่า Hotดูตัวอย่างจากเพลง This is why I'm hot ของ Mims ที่ผมเคยเขียนแปลไว้สิ
Fo sho หรือ Fo shizzle ก็เป็นอีกคำที่ติดปากเด็กแนวครับ คำนี้ติดมาจากนักร้องฮิปฮอป Snoop Dogg
ซึ่งย่อมาจากคำว่า For sure ใช้เวลาพูดว่า ได้เลย หรือ ตกลง
Fo rizzle ก็มาจากที่มาเดียวกัน แต่คราวนี้ ย่อมาจาก For real ใช้ในการตอบว่า ใช่
เอาหละ วันนี้มีเวลามาเขียนแค่นี้แหละ
จะถามว่า Do you know what i mean? ก็ยังไม่แนวพอ เด็กฮิปฮอปเขาจะพูดว่า
Nah mean? หรือ Naw' mean?
จบแล้วจะกล่าวลาแบบhttp://streetenglish.exteen.com/20071220/hip-hop-1ฮิปฮอป ก็ไม่ bye ครับ
แต่เป็น PEACE!

ฝึกภาษาอังกฤษนอกตำรากันเถอะ + กฏ 10ข้อให้เก่งอังกฤษ

ตามตำราภาษาอังกฤษ ที่คนไทยเรียนตั้งแต่เด็ก สอนให้คุณ ใช้คำว่า "How are you?" ในการทักว่า "สบายดีหรือ" ถูกมั๊ยครับ แต่ผมถามหน่อยว่า เวลาคนไทยทักกัน เราพูดคำว่า สบายดีหรือ? จริงๆบ่อยแค่ไหน ความจริงแทบไม่ได้พูดแบบนั้นกันด้วยซ้ำ สมัยนี้
เพราะทุกวันที่เราได้ยิน ก็จะทักกันว่า "ว่าไง" "เป็นยังไงบ้าง"

ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันครับ ฝรั่งพูด How are you? ฟังดูค่อนข้างเชยๆ เพราะคนอเมริกัน ทักจริงๆจะพูดว่า "How's it going?", "How are you doing" หรือ "What's up?" พวกนี้บ่อยกว่ามาก

ฉะนั้นผมอยากสรุปว่า ภาษาอังกฤษที่เราเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่เราจะเจอในชีวิตจริงเสมอไป
สิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้ คือต้องขวนขวาย หาจากข้างนอกเอาเอง

การเรียนภาษาอังกฤษ ในระบบการศึกษาไทย ยังให้เด็กอ่านแต่แกรมมาร์เป็นส่วนมาก หรือท่องกริยาสามช่อง เพื่อมาสอบ
แต่ความเห็นของผม ผมคิดว่าการที่จะให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วกว่านั้น คือต้องเริ่มต้นที่การฟัง และเก็บเกี่ยวคำศัพท์ ยิ่งเราฟังมากๆ เราก็จะได้ฝึกทั้งการฟัง และพูดไปในทีเดียว เพราะเราสามารถเลียนเสียงฝรั่งจากที่ได้ยินได้ รวมทั้งคลังคำศัพท์ในสมองของเราก็สำคัญมาก
ถ้าคุณรู้ศัพท์น้อย คุณจะฟังจะอ่านยังไง ก็ไม่เข้าใจความหมาย แล้วอย่างนั้นเราจะพูดจะเขียนออกมาได้อย่างไร

เวลาผมเขียนบลอคนี้ ผมชอบเขียนพร้อมวิดีโอหรือไฟล์เสียงให้ฟังด้วยเป็นส่วนมาก ถ้าคนที่ติดตามอยู่ ก็จะสังเกตุได้ ว่าบางทีผมเอาจากตัวอย่างหนังมาสอน

หลายวันก่อนผมไปอ่านหนังสือที่ TK Park (ถ้าว่างก็จะชอบไปที่นี่) ผมก็ไปเจอหนังสือของคุณ Andrew Bigg เล่มนึง คิดว่าเป็น pocket book เล่มแรกแต่จำหน้าปกไม่ได้แล้ว เล่มนั้นเป็น กฏ 10 ข้อ ในการฝึกภาษาอังกฤษครับ ผมจะเอามาบอกต่อ พร้อมอธิบายสั้นๆให้

10 Rules by Andrew Bigg กฏ 10 ข้อ

ข้อ 1. Forget the rule ลืมกฏซะ
นั่นคือเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ อย่าไปพะวงเรื่องของภาษาเราจะไม่ถูกไวยากรณ์ หรือใช้กริยาผิดช่อง เพราะฝรั่งเขาไม่เข้มงวดเรื่องนี้เองเลย

ข้อ 2. Make mistake พูดผิดซะ
พูดไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวผิด ถ้าเราผิดฝรั่งเขาก็เข้าใจครับว่าภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ 2 ของเรา เขายังยินดีช่วยแก้ให้คุณได้ ถ้าเค้าไม่แก้ให้คุณก็อย่าไปคบเขาเลย

ข้อ 3. Don't translate อย่าแปลตรงตัว
ใช่ครับภาษาไทยกับอังกฤษ ไม่เหมือนกัน ห้ามไปแปลตรงตัวเช่นบอกว่า ภาษาอังกฤษของผม งูๆปลาๆ My english is snake snake fish fish พูดแบบนี้ฝรั่งงงแน่ๆครับ หรือบอกให้เปิดทีวีว่า open the TV อันนี้ผิดอย่างแรง เครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าต้องพูดว่า turn on the TV นะ

ข้อ 4. Keep it simple ใช้ภาษาง่ายๆ
ใช่เลย จะพูดอังกฤษ คนไทยบางคนต้องคิดเอาให้ภาษาตัวเองดูไฮโซ พยายามใช้คำยากๆแทน เช่นจะไปกินข้าวที่บ้าน I'm going to dine at my house ไม่รู้จะใช้คำนี้ทำไมครับ ใช้ eat สิครับ จบ

ข้อ 5. Could you please slow down กรุณาพูดช้าๆหน่อย
คนไทยเป็นโรคขี้เกรงใจ หรือ หน้าแตก ครับ ฟังฝรั่งไม่เข้าใจ ก็ยังฟังต่อไป ไม่บอกให้เขารู้ว่าเราไม่เข้าใจ พอเป็นแบบนี้ก็เกิดความเข้าใจผิดทีหลัง หรือเขาสั่งงานมาเราก็ทำไม่ได้เพราะฟังไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวครับถ้าฟังไม่ทัน ก็ขอให้เขาพูดช้าๆลงหน่อย

ข้อ 6. Relax ทำตัวสบายๆ
คนไทยเป็นโรคเกร็งเวลาคุยกับฝรั่ง หลายคน ไม่ต้องกลัวครับฝรั่งไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่ไหน เวลาคุยกับเขา ก็หักเป็นฝ่ายซักถามหรือชวนคุยไปเลยครับ เราจะได้ผูกมิตรกับเขา แล้วหมดโรคกลัวนี้ไปได้

ข้อ 7. Listen and Copy ฟังแล้วเลียนแบบ
ผมสนับสนุนมากๆครับ คือฝึกภาษา เราต้องหัดฟังแล้วเลียนแบบ และวิธีที่ดีที่สุดที่ผมชอบคือ ฝึกภาษาอังกฤษจากหนังนั่นแหละ ฝึกฟังแล้วเลียนแบบ เราจะได้ออกเสียงเป็น เผลอๆสำเนียงดีไปในตัวด้วย จะฝึกคำหยาบ คำสบถก็ทำไปเถอะ ถ้ามันช่วยคุณได้

ข้อ 8. Guess เดา
บางครั้งเวลาอ่านภาษาอังกฤษ แล้วเราไม่เข้าใจคำศัพท์ ผมมีวิธี ที่ผมเองก็ทำประจำ คือ เดาครับ อ่านหาใจความโดยรวมของเรื่องที่เราอ่าน บางครั้งเจอคำยากๆ เราก็ลองเดาว่ามันแปลว่าอะไร

ข้อ 9. Give yourself time ให้เวลากับตัวเอง
หมายถึงให้เวลากับตัวเองในการฝึกภาษาอังกฤษ จะบ่อยจะถี่แค่ไหนก็ขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เห็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจที่จะขวนขวายหรือเรียนรู้ การมาอ่านบลอคของผม วันสองวันต่อครั้ง ก็ถือว่าคุณแบ่งเวลาตัวเองนิดเดียวไม่กี่นาทีในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน

ข้อ 10. Read read read อ่าน อ่าน และก็อ่าน
ข้อสุดท้ายคือหัดอ่านอะเป็นภาษาอังกฤษเยอะๆ เราจะได้ภาษาเข้ามาให้หัว จนบางทีเก่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตัวผมเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ ผมอ่าน textbook ทั้งเล่มมาแล้วก็มี สิ่งที่ผมได้ ผมได้ทั้งคำศัพท์เฉพาะทางก็มีเยอะแยะ

ข้อโบนัสแถม Find a foreign friend หาเพื่อนฝรั่ง
มีเพื่อนฝรั่ง ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษา และมีครูที่แนะเราได้อยู่ใกล้ตัว ถ้าให้ดีและได้ผลดีที่สุดนะครับ หาแฟนฝรั่งเลยมั๊ย

ใครสนใจอ่านรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ลองไปหาอ่านดูนะครับ pocket book ของคุณ Andrew Bigg ใครจำชื่อหน้าปกได้บอกผมละกัน เพราะผมจำไม่ได้ ที่มา:http://streetenglish.exteen.com/20070916/entry



วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

กริยา 3 ช่อง

กริยา 3 ช่อง คือ อะไร คือคำเรียกที่ให้ง่ายแก่การเข้าใจ เพราะมันมีสามช่องนั่นเอง กริยาสามช่องนี้จะนำไปใช้เมื่อเราเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเรื่อง Tense ครับ เพราะโครงสร้างของแต่ละ Tense ไม่เหมือนกัน บางทีก็ใช้ช่องที่หนึ่งบ้าง สองบ้าง หรือสามบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเป็น Tense อะไร หลังจากที่เรียนเรื่อง Tense เข้าใจแล้วรับรองว่าจะหายงงเลยครับว่าที่เรียกว่าสามช่องเพราะเหตุใด
กริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อยๆ ก็มีตามที่คัดมาให้ด้านล่าง คำที่พิมพ์หนาหมายถึง คำที่ใช้บ่อยสุดๆ ต้องจำให้ได้เล

Irregular Verb กริยาอปกติ



ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 แปล
1
be = is, am, are was, were been เป็น อยู่ คือ
2
become (บิคั๊ม) became  (บิเค๊ม) become กลายเป็น
3
begin (บิกิ๊น) began  (บิแก๊น) begun (บิกั๊น) เริ่มต้น
4
bet  เบ็ท bet เบ็ท bet พนัน
5
bite ไบท bit บิท bitten (or bit) บิทเทิน กัด
6
bleed บลีด bled  เบล็ด bled เลือดออก
7
blow บโล blew บลู blown บโลน พัด เป่า ตี
8
break เบรก broke บโรค broken บโรคเคิน แตก
9
bring บริง brought บรอท brought นำมา เอามา
10
build บิลด built  บิลท built สร้าง
11
burst เบิสท burst burst ระเบิด
12
buy บาย bought บอท bought ซื้อ
13
catch แค็ทช caught คอท caught จับ , ขึ้นรถ
14
choose ชูส chose โชส chosen โชเซิน เลือก
15
come  คัม came เคม come มา
16
cost  คอสท cost cost มีราคา
17
cut cut cut ตัด
18
dig  ดิก dug ดัก dug ขุด
19
dive ไดฝ dived (or doveโดฝ) dived ไดฝด ดำนํ้า
20
do ดู did ดิด done ดัน ทำ
21
draw ดรอ drew ดรู drawn  ดรอน ลาก วาด เขียน
22
drink  ดริงค drank ดแรงค drunk ดรังค ดื่ม
23
drive ไดรฝ drove ดโรฝ driven ดริฝเฝิน ขับ(รถ)
24
eat อีท ate เอท eaten อีทเทิน กิน
25
fall ฟอล fell เฟ็ล fallen ฟอลเลิน ตก หล่น
26
feel ฟีล felt เฟ็ลท felt รู้สึก
27
fight ไฟท fought ฟอท fought ต่อสู้
28
find ไฟนด found  เฟานดึ found พบ
29
fly ฟลาย flew ฟลู flown ฟโลน บิน
30
forbid ฟอบิด forbade ฟอเบด forbidden ฟอบิดเดิน ห้าม
31
forget ฟอเก็ท forgot ฟอก็อท forgotten ฟอก็อทเทิน ลืม
32
freeze ฟรีส froze โฟรส frozen โฟรสเซิน แข็งตัว หนาว
33
get เก็ท got ก็อท got เอา ได้รับ
34
give กิฝ gave เกฝ given กิฝเฝิน ให้
35
go โก went เว็นท gone กอน ไป
36
grind กรายด ground  กราวด ground บด ลับ
37
grow กโร grew กรู grown กโรน เติบโต, ปลูก
38
hang (pictures) แฮง hung ฮัง hung แขวน ห้อย
39
hang (people) แฮง hanged  แฮงด hanged แขวนคอ
40
have แฮฝ had แฮด had มี
41
hear เฮีย heard เฮิด heard ได้ยิน
42
hide ฮายด hid ฮิท hidden ฮิดเดิน ซ่อน
43
hurt เฮิท hurt hurt ทำร้าย
44
know โน knew นู known โนน รู้
45
lay เล laid เลด laid วาง ออกไข่
46
lead ลีด led เหล็ด led นำ
47
learn เลิน learnt เลินท learnt เรียนรู้
48
leave ลีฝ left เล็ฟท left ละทิ้ง, จากไป
49
lend เล็นด lent  เล็นท lent ให้ยืม
50
lie ลาย lay เล lain เลน นอน
51
light ไลท lit  ลิท lit จุดไฟ
52
lose ลูส lost ลอสท lost แพ้ ทำหาย
53
make เมค made เมด made ทำ
54
meet มีท met เม็ท met พบ
55
mistake มิสเตค mistook มิสตุค mistaken มิสเตคเคิน ทำผิด
56
pay เพ paid  เพด paid จ่าย
57
put พุท put put วาง
58
quit ควิท quitted ควิทเท็ด (or quit) quit ควิท เลิก
59
read หรีด read เหร็ด read เหร็ด อ่าน
60
ride รายด rode โรด ridden ริดเดิน ขี่
61
ring ริง rang แรง rung รัง สั่น (กระดิ่ง)
62
rise ไรซ rose โรส risen ริสเซิน ขึ้น ลุกขึ้น
63
run รัน ran แรน run วิ่ง
64
say เซ said เซด said พูด
65
see ซี saw ซอ seen ซีน เห็น
66
seek ซีค sought ซอท sought ค้นหา
67
sell เซ็ล sold โซลด sold ขาย
68
set เซ็ท set set จัด
69
shake เชค shook  ชุค shaken เขย่า สั่น
70
shine ชายน shone  โชน shone ส่องแสง
71
shrink ชริงค shrank  ชแรงค shrunk ชรัง หดลง สั้นลง
72
sing ซิง sang แซง sung ซัง ร้องเพลง
73
sink ซิงค sank แซงค sunk ซังค จม ถอยลง
74
sit ซิท sat แซ็ท sat แซ็ท นั้ง
75
slide สไลด slid สลิด slid สื่นไถล, เลื่อนไป
76
sleep สลีพ slept  สเล็พท slept นอนหลับ
77
speak สปีค spoke สโปค spoken สโปเคิน พูด
78
spin สปิน spun สปัน spun ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย
79
split สปลิท split split แตก, แยก
80
spring สปริง sprang สแปรง sprung สปรัง โดดอย่างเร็ว, เด้ง
81
sting สติง stung  สตัง stung สตัง ต่อย, แทง
82
stink สติงค stank สแตงค stunk สตังค ส่งกลิ่นเหม็น
83
strike สไตรค struck สตรัค struck ตี, ต่อย? กระทบ
84
string สตริง strung สตรัง strung ผูกเชือก ขึงสาย
85
swear สแว swore สวอ sworn สวอน สาบาน ปฏิญาณ
86
swell สเว็ล swelled สเว็ลด swollen สวอลเลิน โตขึ้น หนาขึ้น
87
swim สวิม swam สแวม swum ว่ายนํ้า
88
swing สวิง swung สวัง swung แกว่ง, เหวี่ยง
89
take เทค took ทุค taken เทคเคิน เอา พาไป
90
teach ทีช taught ทอท taught สอน
91
tear แท tore ทอ torn ทอน ฉีก ขาด
92
tell เท็ล told โทลด told บอก
93
think ธิง thought  ธอท thought คิด
94
throw ธโร threw ธรู thrown ธโรน เหวี่ยง ขว้าง
95
wake เวค woke โวค waken เวคเคิน ตื่น, ปลุก
96
wear แว wore วอ worn วอน สวม, ใส่
97
weave วีฝ wove โวฝ woven โวฝเฝิน ทอผ้า, สาน
98
weep วีพ wept เว็พท wept ร้องไห้
99
win วิน won ว็อน won ชนะ
100
write ไรท wrote โรท written ริทเทิน เขียน

       

       

REGULAR VERB กริยาปกติ


ช่อง 1 ช่อง 2 ช่อง 3 แปล
1
answer answered answered ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท)
2
arrive arrived arrived มาถึง ไปถึง
3
attend อะเท็นด attended อะเท็นเด็ด attended (เข้าร่วม) ประชุม
4
beg เบก begged เบกด begged ขอ
5
call  คอล called คอลด called เรียก โทรหา
6
change เชนจึ changed เชนจดึ changed เปลี่ยน
7
clean คลีน cleaned คลีน cleaned  ทำความสะอาด
8
cook คุค cooked คุคท cooked ทำอาหาร
9
cry คราย cried ครายด cried ร้องไห้
10
dance แดนซ danced แดนซท danced เต้นรำ
11
die ดาย died ดายด died ตาย
12
deliver ดิลิฝเวอะ deliverd ดิลิฝเวิด deliverd ส่งถึงที่
13
drop ดร็อพ dropped ดร็อพท dropped (น้ำ) หยด
14
end เอนด ended เอนดิด ended จบ
15
fix ฟิกซ fixed ฟิกซท fixed ซ่อม
16
hate เฮท hated เฮททิด hated เกลียด
17
help เฮ็ลพ helped เฮ็ลพท helped ช่วย
18
kiss คิส kissed คิสท kissed จูบ
19
lift ลิฟท lifted ลิฟเท็ด lifted ยก
20
listen ลิซเซิน listened ลิซเซินด listened ลิซเซินด ฟัง
21
live ลิฝ lived ลิฝด lived อาศัยอยู่
22
look ลุค looked ลุคท looked มอง
23
love เลิฝ loved  เลิฝด loved รัก
24
move มูฝ moved มูฝด moved มูฝด ย้าย  ขยับ
25
need นีด needed นีดเด็ด needed นีดเด็ด ต้องการ
26
paint เพ๊นท painted เพ๊นทิด painted วาดภาพ  ระบายสี
27
plan แพลน planned แพลนด planned วางแผน
28
play เพล played พเลด played เล่น
29
rain เรน rained เรนด raind ฝนตก
30
return returned returned กลับคืน
31
serve เสิฝ served เสิฝ served เสิร์ฟ
32
shop ช็อพ shopped ช็อพท shopped จ่ายตลาด
33
smoke สโมค smoked สโมคท smoked สโมคท สูบบุหรี่
34
sneeze สนีส sneezed สนีสด sneezed จาม
35
snow สโน snowed สโนด snowed หิมะตก
36
stay สเต stayed สเตด stayed พักอาศัย
37
stop สต็อพ stopped สต็อพท stopped หยุด
38
study สตัดดิ studied สตัดดิด studied เรียน
39
talk ทอค talked ทอคท talked สนทนา
40
travel แทรเวิล traveled แทรเวิลด traveled ท่องเที่ยว
41
visit วิสิท visited วิสิทเท็ด visited วิสิทเท็ด เยี่ยม  เที่ยว
42
wait เวท waited เวททิด waited รอ


ขอบคุณที่มาจาก www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com

12 Tenses ที่แสนจะง่ายๆเอง

 12 Tenses ที่แสนจะง่ายๆเอง


ก่อนเข้าสู่บทเรียนเรื่อง Tense ทั้ง 12 คุณได้ศึกษาไวยากรณ์พื้นฐานแล้วหรือยัง เพราะตัวพื้นฐานดังกล่าวถ้าเปรียบดังตึกคือชั้นล่าง ถ้าพื้นฐานแน่นแล้ว การเรียนเรื่อง tense ก็จะง่ายมากๆ ขอบอก
แต่ถ้าศึกษาแล้วก็เตรียมตัวเรียนกันเลยครับ แต่ต้องพึงระลึกว่า โครงสร้างทางภาษาบางทีต้องท่องจำเหมือนสูตรคูณ แต่ถ้าเราคล่องแล้วมันก็จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นแหละ ซึ่งเราก็จะรู้อัตโนมัติว่าโครงสร้างนี้ คือ Tense อะไร เพราะเวลาแปล จะได้แปลถูก และรู้เรื่อง
เรื่อง tense ก็คือเรื่องของเวลา หมายความว่าเวลาที่เราจะพูดอะไรสักอย่างจะมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะตัวเวลานี้แหละที่ทำให้โครงสร้างประโยคเปลี่ยนไป เช่น
I eat rice. ถ้าพูดอย่างนี้หมายความว่ากินข้าวเป็นอาหารหลัก และกินทุกวัน
I am eating rice. หมายความว่ากำลังกินข้าวอยู่
I ate rice. หมายความว่า ฉันได้กินแล้วข้าวเรียบร้อย
ยกตัวอย่างให้ดูคร่าวๆ นะครับ เดี๋ยวค่อยทำความเข้าใจไปทีละเรื่อง เดี๋ยวจะเข้าใจเองแหละครับ
เนื้อหาทั้งหมดด้านล่างนี้เป็นสุดยอดเคล็ดลับวิชาจากเส้าหลิน ที่่ผ่านการกลั่นกรองแล้วว่าคัดมาแต่เนื้อๆ และรับรองผล แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจไปตามขั้นตอน โดยเฉพาะมือใหม่ ห้ามลัดหรือข้ามเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะยิ่งงงมากขึ้น  แต่ถ้าเข้าใจแล้วในบางเรื่อง ก็เลือกศึกษาเฉพาะเรื่องที่ต้องการก็ได้
หลักการ Tense 12
  คำ วลี ประโยค คืออะไร
  ประธาน กริยา กรรม คือ อะไร ตัวไหนคือประธานกันแน่
  ประธานเอกพจน์ พหูพจน์ มีอะไรบ้าง สังเกตตรงไหน
  กริยา 3 ช่องที่ใช้บ่อย พร้อมคำอ่าน คำแปล
กริยาช่วยทั้ง 24 ตัว
  Question Word คำที่นำมาใช้เป็นคำถาม
  Tense คืออะไร
  โครงสร้าง Tense 12 พร้อมวิธีแปล

***** ทำความเข้าใจก่อน *****

สิ่งที่เรากำลังเรียนต่อไปนี้เรียกว่า Tense (เท็นส) ซึ่งเป็นยาขมหม้อใหญ่ที่นักเรียนน้อยคนจะสามารถเรียนรู้ให้เข้าใจได้ ทั้งนี้เพราะมีกฎเกณฑ์มากมาเหลือเกิน ดังนั้น ครูจึงตัดทอนออกบางส่วน โดยนำส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญให้นักเรียนได้เรียนรู้ก่อนเป็นลำดับแรก ถ้านักเรียนเข้าใจหลักการเหล่านี้แล้ว ส่วนที่เป็นปลีกย่อยที่ตำราเขียนกันเป็นเล่มใหญ่ก็จะเป็นเรื่องหมูๆ
สิ่งที่เขียนต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ครูประมวลสรุปให้แล้วนะครับ ว่ามันสำคัญจริงๆ และจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะ tense คือโครงสร้างภาษาอังกฤษ ที่นักเรียนไทยต้องเรียนรู้  บอกเลยว่าต้องเรียนรู้ ขอเถียงชนฝาเลยตรงนี้เลย ถ้าเราเป็นแค่เด็กๆขายน้ำอัดลมให้ฝรั่งก็ไม่จำเป็นต้องเรียนหรอก เพราะภาษาที่ใช้มันก็แค่ไม่กี่ประโยค แต่สำหรับนักเรียนที่จะเรียนรู้ขั้นสูง โดยเฉพาะคนที่จะต้องศึกษาจากตำราฝรั่ง ต้องเรียนให้แจ่มแจ้งเลย ไม่งั้นจะอ่านตำราไม่เข้าใจ เพราะอย่าลืมว่าใครงสร้างประโยคของภาษาอังกฤษมีตั้ง 24 (Active 12+Passive 12)
ก่อนจะเข้าสู่บทเรียนก็อยากฝากไว้ว่า การฝ่าด่าน tense เหมือนกับการวิ่งมาราธอนนั่นแหละ ต้องใช้ความขยัน อดทด อ่านซ้ำบ่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆซึมเข้าสมอง แล้วสุดท้ายก็จะเข้าใจเองแหละครับ สู้ๆ

Present Tenses (ปัจจุบันกาล)

  Present Simple Tense ใช้บ่อยสุด เป็นเนื้อหาในตำราเสียส่วนใหญ่
  Present Continuous Tense ใช้บ่อยเหมือนกัน
  Present Perfect Tense ใช้ไม่บ่อยเท่าสองอันแรก
  Present Perfect Continuous Tense เห็นใช้อยู่แต่ไม่บ่อย

Past Tenses (อดีตกาล)

  Past Simple Tense เห็นบ่อยๆเลย โดยเฉพาะในนิทาน
  Past Continuous Tense เห็นอยู่นะแต่ไม่บ่อยเท่าไหร่
  Past Perfect Tense นี่ก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอก
  Past Perfect Continuous Tense นานๆ จึงจะเจอที

Future Tenses (อนาคตกาล)

  Future  Simple Tense ใช้บ่อยอยู่ โดยเฉพาะคนที่ชอบพูดว่า จะโน่น จะนี่
  Future Continuous Tense แทบไม่ได้ใช้เลย ปีหนึ่งจะได้พูดสักครั้งหรือเปล่า
  Future Perfect Tense ไม่ใช้ก็ยังได้เลยตัวนี้
  Future Perfect Continuous Tense เก็บเข้ากรุได้เลย ชาตินี้จะได้พูกสักครั้งหรือเปล่า

สรุปย้ำเพิ่มความเข้าใจเรื่อง Tenses


เรื่อง Tense จบแล้วจ้า ต่อไปก็จะพูดถึงเรื่อง Passive Voice หรือจะกล่าวไปแล้ว มันก็คือ Tense อีก 12 ตัว ซึ่งจะกล่าวถึงประธานเป็นผู้ถูกกระทำ Tense ที่เราเรียนไปแล้วนี้ เรียกว่า Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำ
แล้วก็จะต่อด้วย Reported Speech , If cluause และอี่นๆ ขอคิดดูก่อน คิดอะไรได้ก็จะเอาอันนั้นแหละ
ปล. การศึกษาเรื่อง Tense ไม่ใช่เรียนผ่านแล้วผ่านเลยนะครับ ให้อ่านบ่อยๆ หลายๆรอบ ดูตัวอย่างเยอะๆ ให้มันซึมซับ ตอนนั้นแหละเรื่อง Tense ก็จะเป็นเรื่องหมูๆ ทันที
การเรียนรู้เรื่อง Tense ให้เข้าใจจะมีประโยชน์ตอนอ่านภาษาอังกฤษ กับเขียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เขียนได้ถูกต้องตามหลักภาษา จะบ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างแท้จริง
ขอบคุณที่มาจาก www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com