1
ไม่รู้ว่ามันมีที่มาจากไหนนะ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ติดตามวัยรุ่นฝรั่งเขาอยู่บ้างว่า เด็ก(มะกัน) สมัยนี้ มันเป็นยังไงบ้าง
เพราะเด็กพวกนี้ก็มีแสลงของพวกเขามาใหม่ๆ
แล้ว แหม ไม่รู้เหมือนกันนะว่าเพลงไทยก็ใส่คำพวกนี้มาด้วย เพราะเมื่อเช้าได้ยินเพลงไทยเพลงหนึ่ง ผมไม่รู้ชื่อเพลง และไม่แน่ใจว่านักร้องคือใคร ใช่ เฟย์ฟางแก้ว อะไรกลุ่มนั้นหรือเปล่าไม่รู้ ใครรู้ยืนยันให้ด้วย
เห็นมีเสียงร้อง เป็นแบคกราวด์อยู่คำหนึ่ง เวิ้ด ๆ ๆ.. อยู่นั่น
ไม่รู้เขาหมายถึง Word คำนี้หรือเปล่า
นั่นแหละ Word ที่แปลว่าคำ หรือ คำพูดนั่นแหละ
+---------------------------------------------+
2
ผมคิดว่าวัยรุ่นพวกนี้ มันไปวิบัติภาษา มาจากคำว่า What's up? กลายเป็น Word up?
แล้วต่อมาก็ใช้แปลว่า Yes หรือ Really แทนได้ด้วย
คนอ่าน: Word?
จริงเหรอ
จขบ: Word.
จริงครับ
+---------------------------------------------+
3
นอกจากนี้ คิดว่าวัยรุ่นที่เก่งภาษาฮิพฮอพหลายคน คงจะรู้จักคำๆนี้กันอยู่แล้ว
คือคำว่า
Fo shizzle (โฟ ชี้ส- เซิ้ล)
กับ
Fo rizzle
คำๆนี้ ก็มาจาก แสลงแบบวัยรุ่นอีกที จากคำว่า
For sure กับ For real..
ทั้งหมดนั่น ใช้แทนคำว่า Really? หรือ Yes ได้หมดเลยครับ
ถ้าให้เพิ่มความแนวๆ มันมีคำพ้องเสียงที่ใช้แทนคำว่า เพื่อน หรือ เกลอ ด้วยคำว่า Dizzle อีกครับ
เช่น
Fo shizzle, ma dizzle
แน่นอนเลยเพื่อน
+---------------------------------------------+
4
เสริมได้อีก คำนี้ผมก็ได้ยินจากเพลง Dilemma ของ Nelly
คือคำว่า Fo sho
อ่านว่า โฟ โช
ย่อมาจาก For sure
ซึ่งก็แปลว่า ใช่ และ จริง เหมือนกัน
+---------------------------------------------+
5
สมัยก่อน ผมก็อยากทำตัวเหมือนเป็นวัยรุ่นกับเขาเหมือนกันนะครับ
เวลา จะพูดว่า OK โอเค
มันอาจไม่แนวเท่าไหร่
ผมเลยติดพูดคำว่า
Aight
แทน เป็นการรวมคำว่า All right มาให้กลายเป็นพยางค์เดียวแบบนี้ มันจะ แนวๆ สำหรับวัยรุ่นเลย
+---------------------------------------------+
6
เขียนเอนทรี่ ก็หวนรำลึกเมื่อสมัยเป็นนศ.เอแบค ชอบโดนครูภาษาอังกฤษคนหนึ่ง ติประจำ ไม่ให้พูดว่า Yep หรือ Yup และ Yeah แทนคำว่า Yes
หรือ Nope, Nye แทนคำว่า No
ครูแก จะหันมาเน้น บอกให้พูด Yes และ No ให้ถูกต้องด้วย
ครูคนอื่นไม่เห็นเรื่องมากแบบแกเลย
จริงไหม?
Word?
ขอบตุนที่มาจาก http://streetenglish.exteen.com/20090615/entry
วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556
สำนวนปากหมาๆ
ฆ่าคือซุนหงอคง เจี๊ยกกก...
เจ้ากรรม เห็นชื่อเอนทรี่วันนี้ ไม่ได้จะเอาคำด่ามาเขียนนะ แต่สำนวนหมาๆ ผมหมายถึงสำนวนภาษาอังกฤษที่เขา เล่นกับคำศัพท์ว่า "DOG"
ช่วงนี้ต้องขออภัยจริงๆที่หายไปนานหลายวัน อย่างที่บอกว่าผมอยู่ในช่วงยุ่งหัวฟู เพราะช่วงนี้ยุ่งกับตัวเลขเรื่องเงินจนลายตา และไม่ใช่ไหลมานะ แต่ไหลออกหมดเลย แต่มันก็ต้องเป็นเรื่องปกติแหละนะ เพราะนี่คือการลงทุน เพราะเราตั้งเป้าไว้ว่าเราจะทำกำไรให้ได้
แต่ธุรกิจของผมคู่แข่งมันก็เยอะ ต้องแข่งขันกันสูงเพื่อแย่งลูกค้า ในภาษาฝรั่ง เขาเรียกว่า
a dog-eat-dog business ครับ
ไม่ใช่ธุรกิจที่เอาหมามากินกันเองนะ
แต่หมายถึงธุรกิจที่ต้องแก่งแย่งกัน ถ้าฝ่ายไหนได้ดี อีกฝ่ายก็มีผลกระทบเหมือนกัน
นอกจากนี้ Dog eat dog ยังหมายถึง การเหยียบบ่าผู้อื่นเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าด้วย
แต่้คนเราก็ต้องดิ้นรน จริงไหมครับ ผมเองก็ต้องอยู่รอด ถึงแม้ว่าจะลำบากช่วงแรกๆ
แต่ก็นะที่เขาบอกว่า Every dog has its own day
แม้แต่หมาก็มีวันของมัน สำนวนนี้หมายถึง ไม่ว่าใครก็ต้องมีโชคหรือทุกข์กันทั้งนั้น เป็นเรื่องธรรมดา
ฉะนั้นตัวผมเองก็ต้องพยายาม ชีวิตของผมจะได้ไม่ต้องเป็น a dog's life
a dog's life ฝรั่งไปเปรียบเป็น ชีวิตที่ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ไม่รู้ทำไม แต่ผมว่าหมาหลายตัวยังมีความสุขกว่ามนุษย์ตั้งหลายคนซะอีก
It's a dog life being a cab driver.
ช่างเป็นชีวิตที่ไม่มีความสุขเลยที่เป็นคนขับแท๊กซี่
(สมมตินะครับ ไม่ได้มีอคติอะไรกับคนขับ)เดี๋ยวจะโดนคนเข้ามาหาเรื่อง เพราะเผลอแกว่งเท้าหาเสี้ยน
โอ้.. ไอ้หลีกเลี่ยงแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่หาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวเนี่ย ฝรั่งเขาก็มีสำนวนหนึ่งนะครับ ว่า
Let sleeping dogs lie ถ้าตรงๆตัวก็แปลว่าปล่อยให้หมาที่กำลังหลับอยู่ หลับต่อไป (อย่าให้มันตื่นหละ เดี๋ยวมันเข้ามาเลีย) ตัวอย่างประโยค
I wanted to ask her what she thought of her ex-husband, but I figured it was better to let sleeping dogs lie.
ฉันอยากจะถามเธอว่าเธอคิดยังไงกับสามีเก่าเธอ แต่ฉันมาคิดอีกทีว่า ฉันไม่ควรหาเหามาใส่หัวจะดีกว่า
อย่างที่บอก ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฝรั่ง เอา หมา มาแทนความรันทดหดหู่ด้วย เพราะยังมีอีกหลายสำนวนหมาๆที่พูดๆกัน ในลักษณะเรื่องแย่ๆ
treat somone like a dog คือการปฏิบัติต่อผู้อื่นในทางแย่มากๆ เช่น
The prison guards treated prisoner like dogs
ผู้คุมนักโทษปฏิบัติต่อนักโทษแย่มาก
และ dog ยังแสดงถึงความผิดหวังได้อีก เช่น
Last night, the party was a real dog.
เมื่อคืนนี้ งานเลี้ยงน่าผิดหวังมากๆ
และในหนังเรื่อง Under dog เอง ผมก็เคยเขียนคำว่า
Dog barks, no bite ด้วย หรือจะบอกว่า Barking dog don't bite ก็ได้
หมาเห่าไม่กัด
คือดีแต่พูดแต่ไม่กล้าจริง
อีกสำนวนหนึ่ง หลายคนคงเคยได้ยิน
Love me love my dog
รักฉันแล้วต้องรักหมาฉันด้วย
เขาหมายถึงเวลาบอกคนรักของคุณว่า ถ้าจะรักเขา ต้องยอมรับสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าข้อเสียข้อด้อย ด้วยครับ
เรื่องหมาๆ ยังเอาไปพูดถึงเรื่องการแต่งตัวก็ได้ครับ
Like a dog's dinner
คำนี้เขาหมายถึงคนที่แต่งตัว แบบตัวเองคิดว่าสวยโก้เลิศหรู แต่ในสายตาคนอื่นเขามองว่างี่เง่าครับ
เห็นบ่อยเวลามีดาราออกงาน แล้วคนชอบซุบซิฐนินทาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตัวมากๆ
ขอแถมอีกสำนวนที่ว่าไม่เขียนก็คงไม่ได้ นั่นคือ
You can't teach an old dog new tricks.
อันนี้หมายถึงคนที่หัวโบราณ ไม่ยอมรับอะไรใหม่ๆ หรือรับได้ยาก เราจะไปสอนเขา เขาก็รับอะไรยากมาก
สำนวนไทยที่คล้ายกับฝรั่งก็มีอีกคำว่า
หมาหวงก้าง
คือพวกที่ไม่ชอบ หรือยอมให้คนอื่นมีความสุข หรือได้รับอะไรดีๆ (ทั้งที่ตัวเองก็ไ้ม่ได้อะไรดีด้วย)
ฝรั่งเขาก็เรียกคนแบบนี้ว่า
A dog in the manger
นอกจากสำนวน ผมขอพูดถึงแสลงหมาๆบ้าง
a jolly dog คือ คนที่มีความสุข
a sad dog คือ คนที่หลงระเริง และหมายถึง คนที่ก่อความเดือดร้อนไปทั่วด้วย
a sly dog คำนี้ คือ คนที่ชอบแอบออกไปเที่ยวผู้หญิงลับๆล่อๆ (เอาไว้ใช้ด่าไอ้พวกที่แอบออกไปเที่ยวหญิงได้เลยครับ คำนี้)
a dumb dog คือ คนที่เงียบ ไม่พูดไม่จา ในระหว่างประชุม หรือเขากำลังนั่งถกเถียงกัน เรียกได้ว่า มึงมานั่งทำไมฟะ ไม่ออกความเห็นเลย
a lucky dog คือ คนที่โชคดี
dog sleep คือ คนที่นอนๆ แล้วชอบผวาตื่น
dog day คือ วันที่ร้อนจัดสุดของปี (ถ้าเป็นเมืองไทย คงไม่แน่ใจว่าวันไหน แม่งร้อนสุดๆทุกวัน)
หรือคนอ่านหนังสือหลายคน คงชอบพับมุมหน้าหนังสือที่เราจะคั่น
ไอ้หน้าที่เราพับคั่นหนังสือ เขาเรียกหน้าตรงนั้นว่า Dog-eared
และนอกจากคำนามแสลงที่ผมบอกไว้ คำว่า dog ยังเป็น verb ได้อีกด้วย แปลว่า ไล่หลัง หรือ ติดตาม
ส่วนมากพูดถึงเรื่องไม่ดีที่ติดตามเราอยู่
เช่น
We were dogged by bad luck through-out the journey
เราถูกรุมเร้าด้วยความโชคร้ายตลอดการเดินทาง
เพิ่งเติมโดยคุณเจ้าชายน้อยอีกสองสำนวนนะครับ
Dog fight ที่แปลว่า การบินสู้รบกัน ของเครื่องบินขับไล่ เพื่อยิงให้อีกลำตกให้ได้ครับ
พอเห็นคำนี้ ผมเลยนึกถึงคำว่า Cat Fight อีกคำเลย แปลว่า ผู้หญิงตบตีกัน
อีกวลี raining cats and dogs แปลว่าฝนตกแบบไม่ลืมหูลืมตา
ฝรั่งเขาใช้สำนวนหมาแมวแทน คนไทยเราใช้หูกับตา
อย่าถามผมว่าทำไมนะ เพราะผมไม่รู้
วันนี้ขอจบสำนวนหมาๆเพียงเท่านี้ แล้วพบกันใหม่ หลังผมผ่านช่วงยุ่งๆ อีกทีนะครับ
ที่ม าhttp://streetenglish.exteen.com/20071111/entry
สำนวนมั่นๆเวอร์ชั่นเสียวๆ
เอาแล้วล่ะสิ นี่มันเอนทรี่ดักรึเปล่า ดันไปเขียนคำผวนซะได้
สำนวนมั่นๆเวอร์ชั่นเสียวๆ (สำนวนเหมียวๆเวอร์ชั้นสั้นๆ ต่างหากล่ะ!!!)
เมื่อสองวันก่อนนี่ ฝนตกหนักมากๆ แบบนี้เลยสินะที่เขาต้องเรียกว่า
Raining cats and dogs คือตกห่าใหญ่เลย น้ำท่วมสูงมาก ผมกับแฟนออกไปทานข้าวแถวตลาด จอดรถเอาไว้ห่างตั้ง 500 เมตร เห็นจะได้ ต้องเดินลุยน้ำขยะดำกลับรถที่มีน้ำท่วมสูงเท่าเข่า
แบบนี้ละมั้งที่เขาว่าฝนตกเป็นหมาเป็นแมว
เห็นสำนวนแบบนี้ทำให้นึกได้ว่า เคยเขียนสำนวนปากหมาไปแล้ว แต่ทำไมไม่เคยเขียนสำนวนปากแมวบ้างเลย
ยิ่งไม่กี่วันเห็นข่าวผู้หญิงที่จับแมวลงในถังขยะ ให้มันติดอยู่ในนั้นถึง 15 ชั่วโมง ไม่รู้ทำไมทำเช่นนั้นได้ น่าสงสารน้องเหมียวมากกกก
ยิ่งไม่กี่วันเห็นข่าวผู้หญิงที่จับแมวลงในถังขยะ ให้มันติดอยู่ในนั้นถึง 15 ชั่วโมง ไม่รู้ทำไมทำเช่นนั้นได้ น่าสงสารน้องเหมียวมากกกก
แต่ว่าผมยังคงเคยสัญญาว่าจะอัพสั้นๆจนครบ 10 เอนทรี่ก่อน
วันนี้ขอแค่พอหอมปากหอมคอก็พอละกัน เลือกแค่สำนวนที่ได้ยินเองบ่อย และใช้ได้จริงครับ
ขอเก็บอัพเวอร์ชั่นเต็มในอนาคตนะ
------------------------------------
นายเอ: เฮ้ยเมื่อคืน ไหนว่าจะกลับบ้านนอนแล้ว ขาออกไปเห็นแกแอบมีหญิงกลับด้วยนี่หว่า
นายบี: เอ่อ ....
นายเอ: เฮ้ย น้องที่ไหนว่ะ หนะๆ ตูเห็นนะเว้ย ตอนแกขับรถออกไปอะ มีหญิงนั่งกลับไปด้วย
นายบี: .....
นายเอ: อย่ามา อย่ามา บอกมาเลยเธอเป็นใคร
นายบี: ....
นายเอ: ็Has the cat got your tongue? เฮ้ยเอ็งเป็นใบ้แดกหรือไงว่ะ?
นายบี:.... เอ่อ เมื่อคืนนี้กูกลับคนเดียวนะ
นายเอ: .....
สำนวนนี้ประหนึ่งว่า เอ็งเป็นใบ้แดกหรือไง ทำไมไม่พูด
ขณะที่อีกสำนวนหนึ่งเกี่ยวกับการพูดอีกแล้ว
Let the cat out of the bag
อันนี้กลับกันเป็นว่า เผยความลับออกมา
ลูกน้อง: หัวหน้า ครับ เจ้านี่มันไม่ยอมเปิดเผยว่ามันมาจากที่ไหน ถึงลอบเข้ามาในรังของเราครับ
หัวหน้า: หึๆ ไม่คิดจะสารภาพเหรอ Let the cat out of the bag. บอกมาซะเถอะไม่งั้นแกจะโดนช๊อตด้วยไม้ช๊อตยุงของข้า
ลูกน้อง: โห น่ากลัวมากกกกก
--------------------------------------
นี่เป็นเอนทรี่ ที่ 5 ที่สัญญากับตัวเองว่าจะอัพสั้นๆ 10 เอนทรี่ติดต่อกัน แต่เริ่มจะฝืนตัวเองอยู่แล้วนี่
อืมดูข่าวในทีวีต่อ
แล้วอยากบอกว่า
Let the cat out of the Trash!!!
เอาเจ้าเหมียวออกมาจากถังขยะนะ!!!!http://streetenglish.exteen.com/20100827/entry
แสลง Hip Hop 1
สำหรับหลายคนคงชื่นชอบฟังเพลงแนวฮิปฮอป แต่หลายครั้งแค่เห็นชื่อเพลง ก็งงว่ามันร้องหมายถึงอะไร เพราะแนวพวกนี้ เขาชอบใช้ภาษาเด็กแนวตามแบบสไตล์ของเขา
ผมเลยขอคัดคำศัพท์มาบอกความหมายที่แท้จริงจากในเนื้อเพลงของมันบ้าง
ต้องยอมรับเลยว่า เพลง แนวฮิปฮอปนั้น เนื้อหามักหนีไม่พ้นถึงเรื่อง ผู้หญิง แกงค์ เงิน ความร่ำรวย ปืน เหล้า หรืออะไรประมาณนี้
มาลองดูเรื่องเงินๆทองๆก่อน
Ice แปลว่า เพชร ในแสลงฮิปฮอป
C-R-E-A-M แปลว่า เงิน ย่อมาจากคำว่า Cash Rule Everything Around MeBaller หมายถึง คนร่ำรวย ใช้เงินฟุ่มเฟือย
Bling Bling หมายถึง เงินทอง เครื่องประดับ
Paper
Cake
Cheddar/Cheeze พวกนี้เป็นแสลง มีความหมายว่าเงินทั้งหมด
นอกจากนี้เรื่องเงินๆ ยังมีแสลงอีกเยอะที่ไม่จำเป็นต้องพูดในแนวฮิปฮอปเสมอไป
แต่ก็ใช้กันเป็นจำนวนมาก และควรรู้ไว้บ้าง เช่นคำว่า
Dough (อ่านว่า โด)
หรือ หน่วยเงินในอเมริกา นอกจากคำว่า Dollar เขายังนิยมใช้คำว่า Buck กันอย่างกว้างขวาง
เช่น 1 buck, 2 buck
หรือคำแทนหน่วย $1,000 อเมริกันชน เขาจะใช้คำว่า 1 Grand ก็ได้
ถ้า 3 Grand ก็แปลว่า 3 พันครับ
หรือถ้า ดูในหนังปล้นแบงค์ คุณอาจได้ยินคำว่า Benjamins นั่นเขาก็หมายถึง แบงค์ $100 ที่มีรูปของ Benjamin Flanklin อยู่บนธนบัตรก็มี
ขอผ่านเรื่องเงิน มาดูคำแสลงว่า แฟน หรือผู้หญิงบ้าง
เพลง My Boo ของนักร้อง Usher คำว่า Boo ก็เป็นแสลงแปลว่า แฟน จะหญิงหรือชายก็ได้ ตัวอย่างคำว่า Boo อีกแห่งเช่น เพลง Dilemma ของ Nelly
หรือจะเป็น Bubu ที่ย่อมาจาก baby ก็มี
อีกคำที่นักฟังเพลงทั้งหลายได้ยินบ่อยๆ ก็มีคำว่า Shawty หรือสะกด Shorty (ชอร์ตี้) ซึ่งแปลว่าผู้หญิง ถ้าคิดว่าไม่เคยได้ยิน ลองไปเปิดเพลง In da club ของ 50 Cent หรือ เพลงอื่นๆหลายเพลงก็มีให้ได้ยินบ่อยแน่
Breezie บรีสซี่ ก็เป็นอีกแสลงที่ หมายถึงผู้หญิง ในภาษาฮิปฮอปนะครับ
คำแสลงที่หมายถึงผู้หญิงที่ใช้กันกว้างขวาง ไม่ต้องแนว ก็ยังมีคำว่า Chick อีกเช่นกัน ไม่ได้หมายถึงไก่นะครับ
คำศัพท์เรื่องเหล้า สุราก็มี
เช่น เพลงของ Daddy Yankee เพลง Gasolina คำว่า Gassoline ก็เป็นแสลงที่แปลว่าเหล้าเช่นกันครับ
อีกคำที่เป็นแสลงทั่วๆไป และนิยมใช้แทนคำว่าเหล้า ก็คือคำว่า Booze
สำนวนพูดติดปาก หากคุณอยากทำตัวเป็นเด็กฮิปฮอป
ก่อนอื่นคุณต้องเปลี่ยนสำเนียงการพูดซักเล็กน้อย ไม่ว่าเวลาทักเพื่อน หรือสนทนา
ไม่ใช่ "ซับโหยๆ" นะ พูดแบบนั้นคนพูดดูเช้ยเชยไปเลย ไม่ใช่เด็กแนวจริงอย่าพูดเลย เพราะเขาไม่ได้พูดกัน
เวลาชาวแกงค์จะทักกัน แค่ Sup คำเดียว หรือ Yo คำเดียว ก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาไปต่อกัน
Keep it real คำนี้ก็เป็นคำติดปากของเด็กฮิปฮอปครับ ใช้พูดถึงแสดงความจริงใจ
หรือจะชมว่า อะไรดี หรือ ดีมาก
แค่คำว่า That's good มันไม่แนวพอครับ เปลี่ยนมาใช้ว่า That's bangin' (แบงงิ่ง) หรือ That's off the hook จะแนวกว่าเยอะ หรือบางทีก็ว่า That's dope หรือ That's phat ก็ได้
แต่จะติว่าอะไรห่วยหละ เขาก็ใช้คำว่า Whack ครับ
เช่น That car is whack
รถคันนั้นโกโรโกโสจังเลย
จะชมว่าใคร เท่ห์ เก๋ สมัยนี้เขาก็คำใหม่ว่า Fly แล้วครับ ความหมายเหมือนคำว่า Hotดูตัวอย่างจากเพลง This is why I'm hot ของ Mims ที่ผมเคยเขียนแปลไว้สิ
Fo sho หรือ Fo shizzle ก็เป็นอีกคำที่ติดปากเด็กแนวครับ คำนี้ติดมาจากนักร้องฮิปฮอป Snoop Dogg
ซึ่งย่อมาจากคำว่า For sure ใช้เวลาพูดว่า ได้เลย หรือ ตกลง
Fo rizzle ก็มาจากที่มาเดียวกัน แต่คราวนี้ ย่อมาจาก For real ใช้ในการตอบว่า ใช่
เอาหละ วันนี้มีเวลามาเขียนแค่นี้แหละ
จะถามว่า Do you know what i mean? ก็ยังไม่แนวพอ เด็กฮิปฮอปเขาจะพูดว่า
Nah mean? หรือ Naw' mean?
จบแล้วจะกล่าวลาแบบhttp://streetenglish.exteen.com/20071220/hip-hop-1ฮิปฮอป ก็ไม่ bye ครับ
แต่เป็น PEACE!
ผมเลยขอคัดคำศัพท์มาบอกความหมายที่แท้จริงจากในเนื้อเพลงของมันบ้าง
ต้องยอมรับเลยว่า เพลง แนวฮิปฮอปนั้น เนื้อหามักหนีไม่พ้นถึงเรื่อง ผู้หญิง แกงค์ เงิน ความร่ำรวย ปืน เหล้า หรืออะไรประมาณนี้
มาลองดูเรื่องเงินๆทองๆก่อน
Ice แปลว่า เพชร ในแสลงฮิปฮอป
C-R-E-A-M แปลว่า เงิน ย่อมาจากคำว่า Cash Rule Everything Around MeBaller หมายถึง คนร่ำรวย ใช้เงินฟุ่มเฟือย
Bling Bling หมายถึง เงินทอง เครื่องประดับ
Paper
Cake
Cheddar/Cheeze พวกนี้เป็นแสลง มีความหมายว่าเงินทั้งหมด
นอกจากนี้เรื่องเงินๆ ยังมีแสลงอีกเยอะที่ไม่จำเป็นต้องพูดในแนวฮิปฮอปเสมอไป
แต่ก็ใช้กันเป็นจำนวนมาก และควรรู้ไว้บ้าง เช่นคำว่า
Dough (อ่านว่า โด)
หรือ หน่วยเงินในอเมริกา นอกจากคำว่า Dollar เขายังนิยมใช้คำว่า Buck กันอย่างกว้างขวาง
เช่น 1 buck, 2 buck
หรือคำแทนหน่วย $1,000 อเมริกันชน เขาจะใช้คำว่า 1 Grand ก็ได้
ถ้า 3 Grand ก็แปลว่า 3 พันครับ
หรือถ้า ดูในหนังปล้นแบงค์ คุณอาจได้ยินคำว่า Benjamins นั่นเขาก็หมายถึง แบงค์ $100 ที่มีรูปของ Benjamin Flanklin อยู่บนธนบัตรก็มี
ขอผ่านเรื่องเงิน มาดูคำแสลงว่า แฟน หรือผู้หญิงบ้าง
เพลง My Boo ของนักร้อง Usher คำว่า Boo ก็เป็นแสลงแปลว่า แฟน จะหญิงหรือชายก็ได้ ตัวอย่างคำว่า Boo อีกแห่งเช่น เพลง Dilemma ของ Nelly
หรือจะเป็น Bubu ที่ย่อมาจาก baby ก็มี
อีกคำที่นักฟังเพลงทั้งหลายได้ยินบ่อยๆ ก็มีคำว่า Shawty หรือสะกด Shorty (ชอร์ตี้) ซึ่งแปลว่าผู้หญิง ถ้าคิดว่าไม่เคยได้ยิน ลองไปเปิดเพลง In da club ของ 50 Cent หรือ เพลงอื่นๆหลายเพลงก็มีให้ได้ยินบ่อยแน่
Breezie บรีสซี่ ก็เป็นอีกแสลงที่ หมายถึงผู้หญิง ในภาษาฮิปฮอปนะครับ
คำแสลงที่หมายถึงผู้หญิงที่ใช้กันกว้างขวาง ไม่ต้องแนว ก็ยังมีคำว่า Chick อีกเช่นกัน ไม่ได้หมายถึงไก่นะครับ
คำศัพท์เรื่องเหล้า สุราก็มี
เช่น เพลงของ Daddy Yankee เพลง Gasolina คำว่า Gassoline ก็เป็นแสลงที่แปลว่าเหล้าเช่นกันครับ
อีกคำที่เป็นแสลงทั่วๆไป และนิยมใช้แทนคำว่าเหล้า ก็คือคำว่า Booze
สำนวนพูดติดปาก หากคุณอยากทำตัวเป็นเด็กฮิปฮอป
ก่อนอื่นคุณต้องเปลี่ยนสำเนียงการพูดซักเล็กน้อย ไม่ว่าเวลาทักเพื่อน หรือสนทนา
ไม่ใช่ "ซับโหยๆ" นะ พูดแบบนั้นคนพูดดูเช้ยเชยไปเลย ไม่ใช่เด็กแนวจริงอย่าพูดเลย เพราะเขาไม่ได้พูดกัน
เวลาชาวแกงค์จะทักกัน แค่ Sup คำเดียว หรือ Yo คำเดียว ก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาไปต่อกัน
Keep it real คำนี้ก็เป็นคำติดปากของเด็กฮิปฮอปครับ ใช้พูดถึงแสดงความจริงใจ
หรือจะชมว่า อะไรดี หรือ ดีมาก
แค่คำว่า That's good มันไม่แนวพอครับ เปลี่ยนมาใช้ว่า That's bangin' (แบงงิ่ง) หรือ That's off the hook จะแนวกว่าเยอะ หรือบางทีก็ว่า That's dope หรือ That's phat ก็ได้
แต่จะติว่าอะไรห่วยหละ เขาก็ใช้คำว่า Whack ครับ
เช่น That car is whack
รถคันนั้นโกโรโกโสจังเลย
จะชมว่าใคร เท่ห์ เก๋ สมัยนี้เขาก็คำใหม่ว่า Fly แล้วครับ ความหมายเหมือนคำว่า Hotดูตัวอย่างจากเพลง This is why I'm hot ของ Mims ที่ผมเคยเขียนแปลไว้สิ
Fo sho หรือ Fo shizzle ก็เป็นอีกคำที่ติดปากเด็กแนวครับ คำนี้ติดมาจากนักร้องฮิปฮอป Snoop Dogg
ซึ่งย่อมาจากคำว่า For sure ใช้เวลาพูดว่า ได้เลย หรือ ตกลง
Fo rizzle ก็มาจากที่มาเดียวกัน แต่คราวนี้ ย่อมาจาก For real ใช้ในการตอบว่า ใช่
เอาหละ วันนี้มีเวลามาเขียนแค่นี้แหละ
จะถามว่า Do you know what i mean? ก็ยังไม่แนวพอ เด็กฮิปฮอปเขาจะพูดว่า
Nah mean? หรือ Naw' mean?
จบแล้วจะกล่าวลาแบบhttp://streetenglish.exteen.com/20071220/hip-hop-1ฮิปฮอป ก็ไม่ bye ครับ
แต่เป็น PEACE!
ฝึกภาษาอังกฤษนอกตำรากันเถอะ + กฏ 10ข้อให้เก่งอังกฤษ
ตามตำราภาษาอังกฤษ ที่คนไทยเรียนตั้งแต่เด็ก สอนให้คุณ ใช้คำว่า "How are you?" ในการทักว่า "สบายดีหรือ" ถูกมั๊ยครับ แต่ผมถามหน่อยว่า เวลาคนไทยทักกัน เราพูดคำว่า สบายดีหรือ? จริงๆบ่อยแค่ไหน ความจริงแทบไม่ได้พูดแบบนั้นกันด้วยซ้ำ สมัยนี้
เพราะทุกวันที่เราได้ยิน ก็จะทักกันว่า "ว่าไง" "เป็นยังไงบ้าง"
ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันครับ ฝรั่งพูด How are you? ฟังดูค่อนข้างเชยๆ เพราะคนอเมริกัน ทักจริงๆจะพูดว่า "How's it going?", "How are you doing" หรือ "What's up?" พวกนี้บ่อยกว่ามาก
ฉะนั้นผมอยากสรุปว่า ภาษาอังกฤษที่เราเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่เราจะเจอในชีวิตจริงเสมอไป
สิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้ คือต้องขวนขวาย หาจากข้างนอกเอาเอง
การเรียนภาษาอังกฤษ ในระบบการศึกษาไทย ยังให้เด็กอ่านแต่แกรมมาร์เป็นส่วนมาก หรือท่องกริยาสามช่อง เพื่อมาสอบ
แต่ความเห็นของผม ผมคิดว่าการที่จะให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วกว่านั้น คือต้องเริ่มต้นที่การฟัง และเก็บเกี่ยวคำศัพท์ ยิ่งเราฟังมากๆ เราก็จะได้ฝึกทั้งการฟัง และพูดไปในทีเดียว เพราะเราสามารถเลียนเสียงฝรั่งจากที่ได้ยินได้ รวมทั้งคลังคำศัพท์ในสมองของเราก็สำคัญมาก
ถ้าคุณรู้ศัพท์น้อย คุณจะฟังจะอ่านยังไง ก็ไม่เข้าใจความหมาย แล้วอย่างนั้นเราจะพูดจะเขียนออกมาได้อย่างไร
เวลาผมเขียนบลอคนี้ ผมชอบเขียนพร้อมวิดีโอหรือไฟล์เสียงให้ฟังด้วยเป็นส่วนมาก ถ้าคนที่ติดตามอยู่ ก็จะสังเกตุได้ ว่าบางทีผมเอาจากตัวอย่างหนังมาสอน
หลายวันก่อนผมไปอ่านหนังสือที่ TK Park (ถ้าว่างก็จะชอบไปที่นี่) ผมก็ไปเจอหนังสือของคุณ Andrew Bigg เล่มนึง คิดว่าเป็น pocket book เล่มแรกแต่จำหน้าปกไม่ได้แล้ว เล่มนั้นเป็น กฏ 10 ข้อ ในการฝึกภาษาอังกฤษครับ ผมจะเอามาบอกต่อ พร้อมอธิบายสั้นๆให้
10 Rules by Andrew Bigg กฏ 10 ข้อ
ข้อ 1. Forget the rule ลืมกฏซะ
นั่นคือเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ อย่าไปพะวงเรื่องของภาษาเราจะไม่ถูกไวยากรณ์ หรือใช้กริยาผิดช่อง เพราะฝรั่งเขาไม่เข้มงวดเรื่องนี้เองเลย
ข้อ 2. Make mistake พูดผิดซะ
พูดไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวผิด ถ้าเราผิดฝรั่งเขาก็เข้าใจครับว่าภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ 2 ของเรา เขายังยินดีช่วยแก้ให้คุณได้ ถ้าเค้าไม่แก้ให้คุณก็อย่าไปคบเขาเลย
ข้อ 3. Don't translate อย่าแปลตรงตัว
ใช่ครับภาษาไทยกับอังกฤษ ไม่เหมือนกัน ห้ามไปแปลตรงตัวเช่นบอกว่า ภาษาอังกฤษของผม งูๆปลาๆ My english is snake snake fish fish พูดแบบนี้ฝรั่งงงแน่ๆครับ หรือบอกให้เปิดทีวีว่า open the TV อันนี้ผิดอย่างแรง เครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าต้องพูดว่า turn on the TV นะ
ข้อ 4. Keep it simple ใช้ภาษาง่ายๆ
ใช่เลย จะพูดอังกฤษ คนไทยบางคนต้องคิดเอาให้ภาษาตัวเองดูไฮโซ พยายามใช้คำยากๆแทน เช่นจะไปกินข้าวที่บ้าน I'm going to dine at my house ไม่รู้จะใช้คำนี้ทำไมครับ ใช้ eat สิครับ จบ
ข้อ 5. Could you please slow down กรุณาพูดช้าๆหน่อย
คนไทยเป็นโรคขี้เกรงใจ หรือ หน้าแตก ครับ ฟังฝรั่งไม่เข้าใจ ก็ยังฟังต่อไป ไม่บอกให้เขารู้ว่าเราไม่เข้าใจ พอเป็นแบบนี้ก็เกิดความเข้าใจผิดทีหลัง หรือเขาสั่งงานมาเราก็ทำไม่ได้เพราะฟังไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวครับถ้าฟังไม่ทัน ก็ขอให้เขาพูดช้าๆลงหน่อย
ข้อ 6. Relax ทำตัวสบายๆ
คนไทยเป็นโรคเกร็งเวลาคุยกับฝรั่ง หลายคน ไม่ต้องกลัวครับฝรั่งไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่ไหน เวลาคุยกับเขา ก็หักเป็นฝ่ายซักถามหรือชวนคุยไปเลยครับ เราจะได้ผูกมิตรกับเขา แล้วหมดโรคกลัวนี้ไปได้
ข้อ 7. Listen and Copy ฟังแล้วเลียนแบบ
ผมสนับสนุนมากๆครับ คือฝึกภาษา เราต้องหัดฟังแล้วเลียนแบบ และวิธีที่ดีที่สุดที่ผมชอบคือ ฝึกภาษาอังกฤษจากหนังนั่นแหละ ฝึกฟังแล้วเลียนแบบ เราจะได้ออกเสียงเป็น เผลอๆสำเนียงดีไปในตัวด้วย จะฝึกคำหยาบ คำสบถก็ทำไปเถอะ ถ้ามันช่วยคุณได้
ข้อ 8. Guess เดา
บางครั้งเวลาอ่านภาษาอังกฤษ แล้วเราไม่เข้าใจคำศัพท์ ผมมีวิธี ที่ผมเองก็ทำประจำ คือ เดาครับ อ่านหาใจความโดยรวมของเรื่องที่เราอ่าน บางครั้งเจอคำยากๆ เราก็ลองเดาว่ามันแปลว่าอะไร
ข้อ 9. Give yourself time ให้เวลากับตัวเอง
หมายถึงให้เวลากับตัวเองในการฝึกภาษาอังกฤษ จะบ่อยจะถี่แค่ไหนก็ขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เห็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจที่จะขวนขวายหรือเรียนรู้ การมาอ่านบลอคของผม วันสองวันต่อครั้ง ก็ถือว่าคุณแบ่งเวลาตัวเองนิดเดียวไม่กี่นาทีในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน
ข้อ 10. Read read read อ่าน อ่าน และก็อ่าน
ข้อสุดท้ายคือหัดอ่านอะเป็นภาษาอังกฤษเยอะๆ เราจะได้ภาษาเข้ามาให้หัว จนบางทีเก่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตัวผมเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ ผมอ่าน textbook ทั้งเล่มมาแล้วก็มี สิ่งที่ผมได้ ผมได้ทั้งคำศัพท์เฉพาะทางก็มีเยอะแยะ
ข้อโบนัสแถม Find a foreign friend หาเพื่อนฝรั่ง
มีเพื่อนฝรั่ง ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษา และมีครูที่แนะเราได้อยู่ใกล้ตัว ถ้าให้ดีและได้ผลดีที่สุดนะครับ หาแฟนฝรั่งเลยมั๊ย
ใครสนใจอ่านรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ลองไปหาอ่านดูนะครับ pocket book ของคุณ Andrew Bigg ใครจำชื่อหน้าปกได้บอกผมละกัน เพราะผมจำไม่ได้ ที่มา:http://streetenglish.exteen.com/20070916/entry
เพราะทุกวันที่เราได้ยิน ก็จะทักกันว่า "ว่าไง" "เป็นยังไงบ้าง"
ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันครับ ฝรั่งพูด How are you? ฟังดูค่อนข้างเชยๆ เพราะคนอเมริกัน ทักจริงๆจะพูดว่า "How's it going?", "How are you doing" หรือ "What's up?" พวกนี้บ่อยกว่ามาก
ฉะนั้นผมอยากสรุปว่า ภาษาอังกฤษที่เราเรียนจากตำรา ไม่เหมือนภาษาอังกฤษที่เราจะเจอในชีวิตจริงเสมอไป
สิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้ คือต้องขวนขวาย หาจากข้างนอกเอาเอง
การเรียนภาษาอังกฤษ ในระบบการศึกษาไทย ยังให้เด็กอ่านแต่แกรมมาร์เป็นส่วนมาก หรือท่องกริยาสามช่อง เพื่อมาสอบ
แต่ความเห็นของผม ผมคิดว่าการที่จะให้เราเก่งภาษาอังกฤษได้เร็วกว่านั้น คือต้องเริ่มต้นที่การฟัง และเก็บเกี่ยวคำศัพท์ ยิ่งเราฟังมากๆ เราก็จะได้ฝึกทั้งการฟัง และพูดไปในทีเดียว เพราะเราสามารถเลียนเสียงฝรั่งจากที่ได้ยินได้ รวมทั้งคลังคำศัพท์ในสมองของเราก็สำคัญมาก
ถ้าคุณรู้ศัพท์น้อย คุณจะฟังจะอ่านยังไง ก็ไม่เข้าใจความหมาย แล้วอย่างนั้นเราจะพูดจะเขียนออกมาได้อย่างไร
เวลาผมเขียนบลอคนี้ ผมชอบเขียนพร้อมวิดีโอหรือไฟล์เสียงให้ฟังด้วยเป็นส่วนมาก ถ้าคนที่ติดตามอยู่ ก็จะสังเกตุได้ ว่าบางทีผมเอาจากตัวอย่างหนังมาสอน
หลายวันก่อนผมไปอ่านหนังสือที่ TK Park (ถ้าว่างก็จะชอบไปที่นี่) ผมก็ไปเจอหนังสือของคุณ Andrew Bigg เล่มนึง คิดว่าเป็น pocket book เล่มแรกแต่จำหน้าปกไม่ได้แล้ว เล่มนั้นเป็น กฏ 10 ข้อ ในการฝึกภาษาอังกฤษครับ ผมจะเอามาบอกต่อ พร้อมอธิบายสั้นๆให้
10 Rules by Andrew Bigg กฏ 10 ข้อ
ข้อ 1. Forget the rule ลืมกฏซะ
นั่นคือเวลาเราพูดภาษาอังกฤษ อย่าไปพะวงเรื่องของภาษาเราจะไม่ถูกไวยากรณ์ หรือใช้กริยาผิดช่อง เพราะฝรั่งเขาไม่เข้มงวดเรื่องนี้เองเลย
ข้อ 2. Make mistake พูดผิดซะ
พูดไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวผิด ถ้าเราผิดฝรั่งเขาก็เข้าใจครับว่าภาษาอังกฤษเป็น ภาษาที่ 2 ของเรา เขายังยินดีช่วยแก้ให้คุณได้ ถ้าเค้าไม่แก้ให้คุณก็อย่าไปคบเขาเลย
ข้อ 3. Don't translate อย่าแปลตรงตัว
ใช่ครับภาษาไทยกับอังกฤษ ไม่เหมือนกัน ห้ามไปแปลตรงตัวเช่นบอกว่า ภาษาอังกฤษของผม งูๆปลาๆ My english is snake snake fish fish พูดแบบนี้ฝรั่งงงแน่ๆครับ หรือบอกให้เปิดทีวีว่า open the TV อันนี้ผิดอย่างแรง เครื่องใช้ไฟฟ้าเค้าต้องพูดว่า turn on the TV นะ
ข้อ 4. Keep it simple ใช้ภาษาง่ายๆ
ใช่เลย จะพูดอังกฤษ คนไทยบางคนต้องคิดเอาให้ภาษาตัวเองดูไฮโซ พยายามใช้คำยากๆแทน เช่นจะไปกินข้าวที่บ้าน I'm going to dine at my house ไม่รู้จะใช้คำนี้ทำไมครับ ใช้ eat สิครับ จบ
ข้อ 5. Could you please slow down กรุณาพูดช้าๆหน่อย
คนไทยเป็นโรคขี้เกรงใจ หรือ หน้าแตก ครับ ฟังฝรั่งไม่เข้าใจ ก็ยังฟังต่อไป ไม่บอกให้เขารู้ว่าเราไม่เข้าใจ พอเป็นแบบนี้ก็เกิดความเข้าใจผิดทีหลัง หรือเขาสั่งงานมาเราก็ทำไม่ได้เพราะฟังไม่เข้าใจ ไม่ต้องกลัวครับถ้าฟังไม่ทัน ก็ขอให้เขาพูดช้าๆลงหน่อย
ข้อ 6. Relax ทำตัวสบายๆ
คนไทยเป็นโรคเกร็งเวลาคุยกับฝรั่ง หลายคน ไม่ต้องกลัวครับฝรั่งไม่ใช่ยักษ์ใช่มารที่ไหน เวลาคุยกับเขา ก็หักเป็นฝ่ายซักถามหรือชวนคุยไปเลยครับ เราจะได้ผูกมิตรกับเขา แล้วหมดโรคกลัวนี้ไปได้
ข้อ 7. Listen and Copy ฟังแล้วเลียนแบบ
ผมสนับสนุนมากๆครับ คือฝึกภาษา เราต้องหัดฟังแล้วเลียนแบบ และวิธีที่ดีที่สุดที่ผมชอบคือ ฝึกภาษาอังกฤษจากหนังนั่นแหละ ฝึกฟังแล้วเลียนแบบ เราจะได้ออกเสียงเป็น เผลอๆสำเนียงดีไปในตัวด้วย จะฝึกคำหยาบ คำสบถก็ทำไปเถอะ ถ้ามันช่วยคุณได้
ข้อ 8. Guess เดา
บางครั้งเวลาอ่านภาษาอังกฤษ แล้วเราไม่เข้าใจคำศัพท์ ผมมีวิธี ที่ผมเองก็ทำประจำ คือ เดาครับ อ่านหาใจความโดยรวมของเรื่องที่เราอ่าน บางครั้งเจอคำยากๆ เราก็ลองเดาว่ามันแปลว่าอะไร
ข้อ 9. Give yourself time ให้เวลากับตัวเอง
หมายถึงให้เวลากับตัวเองในการฝึกภาษาอังกฤษ จะบ่อยจะถี่แค่ไหนก็ขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่เห็นภาษาอังกฤษเป็นเรื่องน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจที่จะขวนขวายหรือเรียนรู้ การมาอ่านบลอคของผม วันสองวันต่อครั้ง ก็ถือว่าคุณแบ่งเวลาตัวเองนิดเดียวไม่กี่นาทีในการฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน
ข้อ 10. Read read read อ่าน อ่าน และก็อ่าน
ข้อสุดท้ายคือหัดอ่านอะเป็นภาษาอังกฤษเยอะๆ เราจะได้ภาษาเข้ามาให้หัว จนบางทีเก่งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตัวผมเรียนในมหาวิทยาลัยอินเตอร์ ผมอ่าน textbook ทั้งเล่มมาแล้วก็มี สิ่งที่ผมได้ ผมได้ทั้งคำศัพท์เฉพาะทางก็มีเยอะแยะ
ข้อโบนัสแถม Find a foreign friend หาเพื่อนฝรั่ง
มีเพื่อนฝรั่ง ทำให้เราได้ฝึกใช้ภาษา และมีครูที่แนะเราได้อยู่ใกล้ตัว ถ้าให้ดีและได้ผลดีที่สุดนะครับ หาแฟนฝรั่งเลยมั๊ย
ใครสนใจอ่านรายละเอียดมากกว่านี้ ก็ลองไปหาอ่านดูนะครับ pocket book ของคุณ Andrew Bigg ใครจำชื่อหน้าปกได้บอกผมละกัน เพราะผมจำไม่ได้ ที่มา:http://streetenglish.exteen.com/20070916/entry
วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556
กริยา 3 ช่อง
กริยา 3 ช่อง คือ อะไร คือคำเรียกที่ให้ง่ายแก่การเข้าใจ เพราะมันมีสามช่องนั่นเอง กริยาสามช่องนี้จะนำไปใช้เมื่อเราเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเรื่อง Tense
ครับ เพราะโครงสร้างของแต่ละ Tense ไม่เหมือนกัน
บางทีก็ใช้ช่องที่หนึ่งบ้าง สองบ้าง หรือสามบ้าง ขึ้นอยู่กับว่าเป็น Tense
อะไร หลังจากที่เรียนเรื่อง Tense
เข้าใจแล้วรับรองว่าจะหายงงเลยครับว่าที่เรียกว่าสามช่องเพราะเหตุใด
กริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อยๆ ก็มีตามที่คัดมาให้ด้านล่าง คำที่พิมพ์หนาหมายถึง คำที่ใช้บ่อยสุดๆ ต้องจำให้ได้เลย
กริยา 3 ช่อง ที่ใช้บ่อยๆ ก็มีตามที่คัดมาให้ด้านล่าง คำที่พิมพ์หนาหมายถึง คำที่ใช้บ่อยสุดๆ ต้องจำให้ได้เลย
Irregular Verb กริยาอปกติ
|
||||||||
ช่อง 1 | ช่อง 2 | ช่อง 3 | แปล | |||||
1
|
be = is, am, are | was, were | been | เป็น อยู่ คือ | ||||
2
|
become (บิคั๊ม) | became (บิเค๊ม) | become | กลายเป็น | ||||
3
|
begin (บิกิ๊น) | began (บิแก๊น) | begun (บิกั๊น) | เริ่มต้น | ||||
4
|
bet เบ็ท | bet เบ็ท | bet | พนัน | ||||
5
|
bite ไบท | bit บิท | bitten (or bit) บิทเทิน | กัด | ||||
6
|
bleed บลีด | bled เบล็ด | bled | เลือดออก | ||||
7
|
blow บโล | blew บลู | blown บโลน | พัด เป่า ตี | ||||
8
|
break เบรก | broke บโรค | broken บโรคเคิน | แตก | ||||
9
|
bring บริง | brought บรอท | brought | นำมา เอามา | ||||
10
|
build บิลด | built บิลท | built | สร้าง | ||||
11
|
burst เบิสท | burst | burst | ระเบิด | ||||
12
|
buy บาย | bought บอท | bought | ซื้อ | ||||
13
|
catch แค็ทช | caught คอท | caught | จับ , ขึ้นรถ | ||||
14
|
choose ชูส | chose โชส | chosen โชเซิน | เลือก | ||||
15
|
come คัม | came เคม | come | มา | ||||
16
|
cost คอสท | cost | cost | มีราคา | ||||
17
|
cut | cut | cut | ตัด | ||||
18
|
dig ดิก | dug ดัก | dug | ขุด | ||||
19
|
dive ไดฝ | dived (or doveโดฝ) | dived ไดฝด | ดำนํ้า | ||||
20
|
do ดู | did ดิด | done ดัน | ทำ | ||||
21
|
draw ดรอ | drew ดรู | drawn ดรอน | ลาก วาด เขียน | ||||
22
|
drink ดริงค | drank ดแรงค | drunk ดรังค | ดื่ม | ||||
23
|
drive ไดรฝ | drove ดโรฝ | driven ดริฝเฝิน | ขับ(รถ) | ||||
24
|
eat อีท | ate เอท | eaten อีทเทิน | กิน | ||||
25
|
fall ฟอล | fell เฟ็ล | fallen ฟอลเลิน | ตก หล่น | ||||
26
|
feel ฟีล | felt เฟ็ลท | felt | รู้สึก | ||||
27
|
fight ไฟท | fought ฟอท | fought | ต่อสู้ | ||||
28
|
find ไฟนด | found เฟานดึ | found | พบ | ||||
29
|
fly ฟลาย | flew ฟลู | flown ฟโลน | บิน | ||||
30
|
forbid ฟอบิด | forbade ฟอเบด | forbidden ฟอบิดเดิน | ห้าม | ||||
31
|
forget ฟอเก็ท | forgot ฟอก็อท | forgotten ฟอก็อทเทิน | ลืม | ||||
32
|
freeze ฟรีส | froze โฟรส | frozen โฟรสเซิน | แข็งตัว หนาว | ||||
33
|
get เก็ท | got ก็อท | got | เอา ได้รับ | ||||
34
|
give กิฝ | gave เกฝ | given กิฝเฝิน | ให้ | ||||
35
|
go โก | went เว็นท | gone กอน | ไป | ||||
36
|
grind กรายด | ground กราวด | ground | บด ลับ | ||||
37
|
grow กโร | grew กรู | grown กโรน | เติบโต, ปลูก | ||||
38
|
hang (pictures) แฮง | hung ฮัง | hung | แขวน ห้อย | ||||
39
|
hang (people) แฮง | hanged แฮงด | hanged | แขวนคอ | ||||
40
|
have แฮฝ | had แฮด | had | มี | ||||
41
|
hear เฮีย | heard เฮิด | heard | ได้ยิน | ||||
42
|
hide ฮายด | hid ฮิท | hidden ฮิดเดิน | ซ่อน | ||||
43
|
hurt เฮิท | hurt | hurt | ทำร้าย | ||||
44
|
know โน | knew นู | known โนน | รู้ | ||||
45
|
lay เล | laid เลด | laid | วาง ออกไข่ | ||||
46
|
lead ลีด | led เหล็ด | led | นำ | ||||
47
|
learn เลิน | learnt เลินท | learnt | เรียนรู้ | ||||
48
|
leave ลีฝ | left เล็ฟท | left | ละทิ้ง, จากไป | ||||
49
|
lend เล็นด | lent เล็นท | lent | ให้ยืม | ||||
50
|
lie ลาย | lay เล | lain เลน | นอน | ||||
51
|
light ไลท | lit ลิท | lit | จุดไฟ | ||||
52
|
lose ลูส | lost ลอสท | lost | แพ้ ทำหาย | ||||
53
|
make เมค | made เมด | made | ทำ | ||||
54
|
meet มีท | met เม็ท | met | พบ | ||||
55
|
mistake มิสเตค | mistook มิสตุค | mistaken มิสเตคเคิน | ทำผิด | ||||
56
|
pay เพ | paid เพด | paid | จ่าย | ||||
57
|
put พุท | put | put | วาง | ||||
58
|
quit ควิท | quitted ควิทเท็ด (or quit) | quit ควิท | เลิก | ||||
59
|
read หรีด | read เหร็ด | read เหร็ด | อ่าน | ||||
60
|
ride รายด | rode โรด | ridden ริดเดิน | ขี่ | ||||
61
|
ring ริง | rang แรง | rung รัง | สั่น (กระดิ่ง) | ||||
62
|
rise ไรซ | rose โรส | risen ริสเซิน | ขึ้น ลุกขึ้น | ||||
63
|
run รัน | ran แรน | run | วิ่ง | ||||
64
|
say เซ | said เซด | said | พูด | ||||
65
|
see ซี | saw ซอ | seen ซีน | เห็น | ||||
66
|
seek ซีค | sought ซอท | sought | ค้นหา | ||||
67
|
sell เซ็ล | sold โซลด | sold | ขาย | ||||
68
|
set เซ็ท | set | set | จัด | ||||
69
|
shake เชค | shook ชุค | shaken | เขย่า สั่น | ||||
70
|
shine ชายน | shone โชน | shone | ส่องแสง | ||||
71
|
shrink ชริงค | shrank ชแรงค | shrunk ชรัง | หดลง สั้นลง | ||||
72
|
sing ซิง | sang แซง | sung ซัง | ร้องเพลง | ||||
73
|
sink ซิงค | sank แซงค | sunk ซังค | จม ถอยลง | ||||
74
|
sit ซิท | sat แซ็ท | sat แซ็ท | นั้ง | ||||
75
|
slide สไลด | slid สลิด | slid | สื่นไถล, เลื่อนไป | ||||
76
|
sleep สลีพ | slept สเล็พท | slept | นอนหลับ | ||||
77
|
speak สปีค | spoke สโปค | spoken สโปเคิน | พูด | ||||
78
|
spin สปิน | spun สปัน | spun | ม้วน กรอ ปั่นฝ้าย | ||||
79
|
split สปลิท | split | split | แตก, แยก | ||||
80
|
spring สปริง | sprang สแปรง | sprung สปรัง | โดดอย่างเร็ว, เด้ง | ||||
81
|
sting สติง | stung สตัง | stung สตัง | ต่อย, แทง | ||||
82
|
stink สติงค | stank สแตงค | stunk สตังค | ส่งกลิ่นเหม็น | ||||
83
|
strike สไตรค | struck สตรัค | struck | ตี, ต่อย? กระทบ | ||||
84
|
string สตริง | strung สตรัง | strung | ผูกเชือก ขึงสาย | ||||
85
|
swear สแว | swore สวอ | sworn สวอน | สาบาน ปฏิญาณ | ||||
86
|
swell สเว็ล | swelled สเว็ลด | swollen สวอลเลิน | โตขึ้น หนาขึ้น | ||||
87
|
swim สวิม | swam สแวม | swum | ว่ายนํ้า | ||||
88
|
swing สวิง | swung สวัง | swung | แกว่ง, เหวี่ยง | ||||
89
|
take เทค | took ทุค | taken เทคเคิน | เอา พาไป | ||||
90
|
teach ทีช | taught ทอท | taught | สอน | ||||
91
|
tear แท | tore ทอ | torn ทอน | ฉีก ขาด | ||||
92
|
tell เท็ล | told โทลด | told | บอก | ||||
93
|
think ธิง | thought ธอท | thought | คิด | ||||
94
|
throw ธโร | threw ธรู | thrown ธโรน | เหวี่ยง ขว้าง | ||||
95
|
wake เวค | woke โวค | waken เวคเคิน | ตื่น, ปลุก | ||||
96
|
wear แว | wore วอ | worn วอน | สวม, ใส่ | ||||
97
|
weave วีฝ | wove โวฝ | woven โวฝเฝิน | ทอผ้า, สาน | ||||
98
|
weep วีพ | wept เว็พท | wept | ร้องไห้ | ||||
99
|
win วิน | won ว็อน | won | ชนะ | ||||
100
|
write ไรท | wrote โรท | written ริทเทิน | เขียน | ||||
REGULAR VERB กริยาปกติ
|
||||||||
ช่อง 1 | ช่อง 2 | ช่อง 3 | แปล | |||||
1
|
answer | answered | answered | ตอบ (คำถาม) รับ (โทรศัพท) | ||||
2
|
arrive | arrived | arrived | มาถึง ไปถึง | ||||
3
|
attend อะเท็นด | attended อะเท็นเด็ด | attended | (เข้าร่วม) ประชุม | ||||
4
|
beg เบก | begged เบกด | begged | ขอ | ||||
5
|
call คอล | called คอลด | called | เรียก โทรหา | ||||
6
|
change เชนจึ | changed เชนจดึ | changed | เปลี่ยน | ||||
7
|
clean คลีน | cleaned คลีน | cleaned | ทำความสะอาด | ||||
8
|
cook คุค | cooked คุคท | cooked | ทำอาหาร | ||||
9
|
cry คราย | cried ครายด | cried | ร้องไห้ | ||||
10
|
dance แดนซ | danced แดนซท | danced | เต้นรำ | ||||
11
|
die ดาย | died ดายด | died | ตาย | ||||
12
|
deliver ดิลิฝเวอะ | deliverd ดิลิฝเวิด | deliverd | ส่งถึงที่ | ||||
13
|
drop ดร็อพ | dropped ดร็อพท | dropped | (น้ำ) หยด | ||||
14
|
end เอนด | ended เอนดิด | ended | จบ | ||||
15
|
fix ฟิกซ | fixed ฟิกซท | fixed | ซ่อม | ||||
16
|
hate เฮท | hated เฮททิด | hated | เกลียด | ||||
17
|
help เฮ็ลพ | helped เฮ็ลพท | helped | ช่วย | ||||
18
|
kiss คิส | kissed คิสท | kissed | จูบ | ||||
19
|
lift ลิฟท | lifted ลิฟเท็ด | lifted | ยก | ||||
20
|
listen ลิซเซิน | listened ลิซเซินด | listened ลิซเซินด | ฟัง | ||||
21
|
live ลิฝ | lived ลิฝด | lived | อาศัยอยู่ | ||||
22
|
look ลุค | looked ลุคท | looked | มอง | ||||
23
|
love เลิฝ | loved เลิฝด | loved | รัก | ||||
24
|
move มูฝ | moved มูฝด | moved มูฝด | ย้าย ขยับ | ||||
25
|
need นีด | needed นีดเด็ด | needed นีดเด็ด | ต้องการ | ||||
26
|
paint เพ๊นท | painted เพ๊นทิด | painted | วาดภาพ ระบายสี | ||||
27
|
plan แพลน | planned แพลนด | planned | วางแผน | ||||
28
|
play เพล | played พเลด | played | เล่น | ||||
29
|
rain เรน | rained เรนด | raind | ฝนตก | ||||
30
|
return | returned | returned | กลับคืน | ||||
31
|
serve เสิฝ | served เสิฝ | served | เสิร์ฟ | ||||
32
|
shop ช็อพ | shopped ช็อพท | shopped | จ่ายตลาด | ||||
33
|
smoke สโมค | smoked สโมคท | smoked สโมคท | สูบบุหรี่ | ||||
34
|
sneeze สนีส | sneezed สนีสด | sneezed | จาม | ||||
35
|
snow สโน | snowed สโนด | snowed | หิมะตก | ||||
36
|
stay สเต | stayed สเตด | stayed | พักอาศัย | ||||
37
|
stop สต็อพ | stopped สต็อพท | stopped | หยุด | ||||
38
|
study สตัดดิ | studied สตัดดิด | studied | เรียน | ||||
39
|
talk ทอค | talked ทอคท | talked | สนทนา | ||||
40
|
travel แทรเวิล | traveled แทรเวิลด | traveled | ท่องเที่ยว | ||||
41
|
visit วิสิท | visited วิสิทเท็ด | visited วิสิทเท็ด | เยี่ยม เที่ยว | ||||
42
|
wait เวท | waited เวททิด | waited | รอ | ขอบคุณที่มาจาก www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com |
12 Tenses ที่แสนจะง่ายๆเอง
12 Tenses ที่แสนจะง่ายๆเอง
แต่ถ้าศึกษาแล้วก็เตรียมตัวเรียนกันเลยครับ แต่ต้องพึงระลึกว่า โครงสร้างทางภาษาบางทีต้องท่องจำเหมือนสูตรคูณ แต่ถ้าเราคล่องแล้วมันก็จะง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากนั่นแหละ ซึ่งเราก็จะรู้อัตโนมัติว่าโครงสร้างนี้ คือ Tense อะไร เพราะเวลาแปล จะได้แปลถูก และรู้เรื่อง
เรื่อง tense ก็คือเรื่องของเวลา หมายความว่าเวลาที่เราจะพูดอะไรสักอย่างจะมีเวลาเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ เพราะตัวเวลานี้แหละที่ทำให้โครงสร้างประโยคเปลี่ยนไป เช่น
I eat rice. ถ้าพูดอย่างนี้หมายความว่ากินข้าวเป็นอาหารหลัก และกินทุกวัน
I am eating rice. หมายความว่ากำลังกินข้าวอยู่
I ate rice. หมายความว่า ฉันได้กินแล้วข้าวเรียบร้อย
ยกตัวอย่างให้ดูคร่าวๆ นะครับ เดี๋ยวค่อยทำความเข้าใจไปทีละเรื่อง เดี๋ยวจะเข้าใจเองแหละครับ
เนื้อหาทั้งหมดด้านล่างนี้เป็นสุดยอดเคล็ดลับวิชาจากเส้าหลิน ที่่ผ่านการกลั่นกรองแล้วว่าคัดมาแต่เนื้อๆ และรับรองผล แต่ต้องศึกษาให้เข้าใจไปตามขั้นตอน โดยเฉพาะมือใหม่ ห้ามลัดหรือข้ามเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะยิ่งงงมากขึ้น แต่ถ้าเข้าใจแล้วในบางเรื่อง ก็เลือกศึกษาเฉพาะเรื่องที่ต้องการก็ได้
คำ วลี ประโยค คืออะไร
ประธาน กริยา กรรม คือ อะไร ตัวไหนคือประธานกันแน่
ประธานเอกพจน์ พหูพจน์ มีอะไรบ้าง สังเกตตรงไหน
กริยา 3 ช่องที่ใช้บ่อย พร้อมคำอ่าน คำแปล
กริยาช่วยทั้ง 24 ตัว
Question Word คำที่นำมาใช้เป็นคำถาม
- การใช้ Who
- การใช้ What
- การใช้ Where
- การใช้ When
- การใช้ Why
- การใช้ How
- How much/ How many
- How old
- How often
- How far
- How long
- How high/ How tall
- การใช้ Which
- การใช้ Whom กับ Who
- การใช้ whose กับ Who’s
- การใช้ Thatเป็นคำเชื่อม
- ข้อสอบ wh-question ฉบับรวมมิตร
โครงสร้าง Tense 12 พร้อมวิธีแปล
***** ทำความเข้าใจก่อน *****
สิ่งที่เรากำลังเรียนต่อไปนี้เรียกว่า Tense (เท็นส) ซึ่งเป็นยาขมหม้อใหญ่ที่นักเรียนน้อยคนจะสามารถเรียนรู้ให้เข้าใจได้ ทั้งนี้เพราะมีกฎเกณฑ์มากมาเหลือเกิน ดังนั้น ครูจึงตัดทอนออกบางส่วน โดยนำส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญให้นักเรียนได้เรียนรู้ก่อนเป็นลำดับแรก ถ้านักเรียนเข้าใจหลักการเหล่านี้แล้ว ส่วนที่เป็นปลีกย่อยที่ตำราเขียนกันเป็นเล่มใหญ่ก็จะเป็นเรื่องหมูๆสิ่งที่เขียนต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ครูประมวลสรุปให้แล้วนะครับ ว่ามันสำคัญจริงๆ และจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะ tense คือโครงสร้างภาษาอังกฤษ ที่นักเรียนไทยต้องเรียนรู้ บอกเลยว่าต้องเรียนรู้ ขอเถียงชนฝาเลยตรงนี้เลย ถ้าเราเป็นแค่เด็กๆขายน้ำอัดลมให้ฝรั่งก็ไม่จำเป็นต้องเรียนหรอก เพราะภาษาที่ใช้มันก็แค่ไม่กี่ประโยค แต่สำหรับนักเรียนที่จะเรียนรู้ขั้นสูง โดยเฉพาะคนที่จะต้องศึกษาจากตำราฝรั่ง ต้องเรียนให้แจ่มแจ้งเลย ไม่งั้นจะอ่านตำราไม่เข้าใจ เพราะอย่าลืมว่าใครงสร้างประโยคของภาษาอังกฤษมีตั้ง 24 (Active 12+Passive 12)
ก่อนจะเข้าสู่บทเรียนก็อยากฝากไว้ว่า การฝ่าด่าน tense เหมือนกับการวิ่งมาราธอนนั่นแหละ ต้องใช้ความขยัน อดทด อ่านซ้ำบ่อยๆ เดี๋ยวมันก็จะค่อยๆซึมเข้าสมอง แล้วสุดท้ายก็จะเข้าใจเองแหละครับ สู้ๆ
Present Tenses (ปัจจุบันกาล)
Present Simple Tense ใช้บ่อยสุด เป็นเนื้อหาในตำราเสียส่วนใหญ่- การเติม s es ที่ท้ายกริยา
- โครงสร้างประโยคบอกเล่า ปฏิเสธ คำถาม
- ตัวอย่างประโยคบอกเล่า ปฏิเสธ คำถาม
- การใช้ Verb to be ( is am are)
- การใช้ Verb to have (have, has)
- การใช้ Verb to do ( do, does)
- บทอ่าน present simple tense ง่ายๆ
- สรุปหลักการใช้ Present Simple Tense
- หลักการเติม ing ที่ท้ายคำกริยา
- คำกริยาที่ไม่เติม ing
- การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธ คำถาม
- สรุปหลักการใช้ Present Continuous Tense
Present Perfect Continuous Tense เห็นใช้อยู่แต่ไม่บ่อย
Past Tenses (อดีตกาล)
Past Simple Tense เห็นบ่อยๆเลย โดยเฉพาะในนิทาน- หลักการใช้ did
- หลักการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธ คำถาม
- หลักการใช้ was were
- Present Perfect Tense กับ Past Simple Tense ใช้ต่างกันอย่างไร
Past Perfect Tense นี่ก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอก
Past Perfect Continuous Tense นานๆ จึงจะเจอที
Future Tenses (อนาคตกาล)
Future Simple Tense ใช้บ่อยอยู่ โดยเฉพาะคนที่ชอบพูดว่า จะโน่น จะนี่Future Continuous Tense แทบไม่ได้ใช้เลย ปีหนึ่งจะได้พูดสักครั้งหรือเปล่า
Future Perfect Tense ไม่ใช้ก็ยังได้เลยตัวนี้
Future Perfect Continuous Tense เก็บเข้ากรุได้เลย ชาตินี้จะได้พูกสักครั้งหรือเปล่า
สรุปย้ำเพิ่มความเข้าใจเรื่อง Tenses
เรื่อง Tense จบแล้วจ้า ต่อไปก็จะพูดถึงเรื่อง Passive Voice หรือจะกล่าวไปแล้ว มันก็คือ Tense อีก 12 ตัว ซึ่งจะกล่าวถึงประธานเป็นผู้ถูกกระทำ Tense ที่เราเรียนไปแล้วนี้ เรียกว่า Active Voice คือ ประธานเป็นคนกระทำ
แล้วก็จะต่อด้วย Reported Speech , If cluause และอี่นๆ ขอคิดดูก่อน คิดอะไรได้ก็จะเอาอันนั้นแหละ
ปล. การศึกษาเรื่อง Tense ไม่ใช่เรียนผ่านแล้วผ่านเลยนะครับ ให้อ่านบ่อยๆ หลายๆรอบ ดูตัวอย่างเยอะๆ ให้มันซึมซับ ตอนนั้นแหละเรื่อง Tense ก็จะเป็นเรื่องหมูๆ ทันที
การเรียนรู้เรื่อง Tense ให้เข้าใจจะมีประโยชน์ตอนอ่านภาษาอังกฤษ กับเขียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก เขียนได้ถูกต้องตามหลักภาษา จะบ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มีความรู้อย่างแท้จริง
ขอบคุณที่มาจาก www.ภาษาอังกฤษออนไลน์.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)